'ไกเดียน เชอลาช-ลาวี' นักโบราณดคีจากมหาวทิยาลัยเยรูซาเลม ฮีบรูกล่าวว่า กำแพงเมืองจีนในเส้นทางตอนเหนือนั้นไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อป้องกันกองทัพของศัตรู แต่ถูกใช้ในการติดตามการเคลื่อนไหวของประชาชน ซึ่งทำให้ข้อสันนิษฐานดังกล่าวนั้นเป็นการท้าทายสมมติฐานที่นักประวัติศาสตร์เคยเชื่อกันมาที่ชี้ว่ากำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ป้องกันศัตรูที่บุกเข้ามาในตอนกลางของจีนเป็นหลัก โดยจะมีทหารประจำอยู่แต่ละช่วงของกำแพงตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
(ภาพถ่ายจากโดรนที่แสดงส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองจีนในเส้นทางตอนเหนือในประเทศมองโกเลีย)
นักโบราณคดีกล่าวว่า กำแพงเมืองจีนในเส้นทางตอนเหนือ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ของประเทศมองโกเลีย ซึ่งมีลักษณะไม่สูงและแคบกว่าส่วนอื่นๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากำแพงเมืองจีนช่วงดังกล่าวไม่ได้ถูกใช้ในทางการทหาร
'ข้อสรุปของเรา คือ กำแพงเมืองจีนส่วนนี้เป็นการสอดส่อง หรือใช้ในยับยั้งการเคลื่อนไหวของประชาชนและปศุสัตว์ และอาจจะมีการใช้กำแพงเมืองจีนเป็นจุดเก็บภาษีจากประชาชนด้วยเช่นกัน' เชอลาช-ลาวี กล่าว
ทั้งนี้เขายังชี้ว่า ในอดีตประชาชนส่วนใหญ่จะอพยพลงไปทางตอนใต้เพื่อหาอากาศที่อบอุ่นในช่วงฤดูหนาว
การสำรวจกำแพงเมืองจีนในครั้งนี้ทางทีมวิจัยใช้โดรน ภาพถ่ายดาวเทียมที่มีความละเอียดสูงและเครื่องมือทางโบราณดคีในการสร้างแผนที่กำแพงเมืองจีนขึ้นมา
กำแพงเมืองจีนในเส้นทางตอนเหนือนั้นรู้จักกันในนาม 'กำแพงของเจงกิส ข่าน' ซึ่งสร้างในช่วงประมาณศตวรรษที่11 - 13 โดยกำแพงเมืองจีนในช่วงนี้ประกอบไปด้วยป้อมเล็กๆอีก 72 แห่ง และการวิจัยในครั้งนี้ยังเปิดเผยความยาวของกำแพงเมืองจีนในเส้นทางตอนเหนือว่ามีระยะทางความยาวทั้งสิ้น 740 กิโลเมตร
ที่มา CNA / chinahighlights