ไม่พบผลการค้นหา
'อดีตแกนนำไทยรักษาชาติ' โพสต์รำลึก 1 ปีก่อตั้งพรรค 'ปรีชาพล-ชยิกา-ฤภพ' ย้ำแม้ไม่สมหวัง แต่ไม่ละทิ้งอุดมการณ์ หวังอยากเห็นประเทศหลุดพ้นวิกฤต

ครบรอบ 1 ปี การก่อตั้งพรรคไทยรักษาชาติ ที่ภายหลังมีบิ๊กเซอร์ไพร์ ในการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ก่อนนำไปสู่การถูกยุบพรรรคจากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมา

วันนี้ (7 พ.ย. 2562) เหล่าอดีตแกนนำพรรค ได้ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียรำลึกเมื่อครั้งเดินหน้าสู่สนามการเมือง อาทิ ร้อยโทปรีชาพล พงษ์พานิช อดีตหัวหน้าพรรค นายฤภพ ชินวัตร รองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค นายต้น ณ ระนอง รองเลขาธิการพรรคคนที่ 1 นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ รองเลขาธิการพรรคคนที่ 3 พร้อมร่วมกันติดแฮชแท็ก '#โอกาสคืออนาคต' 

โดยร้อยโทปรีชาพล ระบุว่าแม้จะวันนี้บทบาททางการเมืองของตนจะเปลี่ยนไป แต่ก็ยังคงมีความปรารถนาดี อยากเห็นประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ดี คนไทยลืมตาอ้าปากได้ สามารถพัฒนาเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะเชื่อว่าประเทศไทยนั้น มีศักยภาพเพียบพร้อมในหลายด้าน และเชื่อว่าโอกาสในชีวิตของคนเรามีได้หลายครั้ง โอกาสมีอยู่ทุกที่ในประเทศไทยและมีอยู่ในทุกจังหวะของการพัฒนา และเป็นหนทางที่นำไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเสมอ


ส่วนนางสาวชยิกา ยืนยันว่าไม่เคยลืมอุดมการณ์ที่จะมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงโอกาสของคนตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งตนมีความตั้งใจ ที่อยากจะเข้ามาพัฒนาโอกาสให้กับผู้คนในสังคมอีกมากมาย ที่มีศักยภาพซ่อนเร้น แต่ขาดโอกาสในการเชื่อมโยงไปสู่แหล่งความรู้ แหล่งทุน เทคโนโลยี และตลาดโลก

ขณะที่นายฤภพ ระบุว่า 1 ปีที่ผ่านมานั้นตนยังไม่หยุดคิดที่อยากจะพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยี อยากเห็นประเทศไทยนั้นก้าวไกล ทัดเทียมกับประเทศมหาอำนาจ ประเทศไทยนั้นยังขาดโอกาส แต่เราสามารถสร้างโอกาสนั้นขึ้นมาเองได้ เพื่อเศรษฐกิจ และอนาคตของประเทศไทย

ส่วนนายคณาพจน์ ระบุว่า ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และความไม่แน่นอน เราจะต้องผลักตัวเองออกจากพื้นที่ที่เคยชิน (Discomfort zone) ไปสู่ "ความหวัง" และ "โอกาส" เพื่อที่จะก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำในอนาคตได้ เพราะไม่มีอะไรจะเสี่ยงไปมากกว่าการย่ำอยู่กับที่ ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ได้รับโอกาสมากมายในการทำธุรกิจ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้คนหลากหลาย ผมไม่เคยหยุดเรียนรู้ ได้ลองผิดลองถูก เพื่อที่จะพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพที่ดียิ่งขึ้น ระบบการศึกษาไทย จะต้องเปิดกว้าง (Boundaryless) เสริมสร้างการเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียนแต่ละคน (Personalized learning program) ด้วยวิธีดิจิทัล AI, AR/VR และ Blockchain จะเข้ามาเป็นกลไกที่ช่วยให้เติมเต็ม และเข้าถึงแหล่งความรู้ได้หลากหลาย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการเรียนการสอนจากครูในห้องเรียน

ดังนั้น ในโลกที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ผมจึงเชื่ออยู่เสมอว่า ชีวิตเรายังมีความหวังและโอกาสรอเราอยู่เสมอ อยู่ที่เราต้องคว้า "โอกาส" เหล่านั้นให้อยู่ในมือของเรา ผมเชื่อว่าทุกๆ คนก็สามารถทำได้ เพื่อก้าวไปสู่ "อนาคต" ที่ดีกว่าของเรา และประเทศไทยไปด้วยกันครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :