ไม่พบผลการค้นหา
9 พ.ย.2564 รายการ CareTalk x Care Clubhouse ในหัวข้อ “Metaverse” โลกก้าวไป แต่นายกไทยยังใช้ทหารปลูกผักชี!? โดยมีแขกรับเชิญเจ้าประจำ ‘พี่โทนี่’ หรือทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และครั้งนี้มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาร่วมพูดคุยด้วย

ทั้งนี้ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ประธานบริหารของ “เมตา” ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของเฟซบุ๊กอธิบายว่า เมตาเวิร์สคือ สภาพแวดล้อมเสมือนจริง ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ได้จริงไม่เพียงแต่มองผ่านจอเท่านั้น แต่เชื่อมต่อสังคมเสมือนจริงเพื่อให้ผู้คนพบปะ ทำงาน หรือทำกิจกรรมสันทนาการร่วมกันได้ผ่านชุดอุปกรณ์เช่น แว่นตา แอปพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นๆ

โทนี่เริ่มต้นอธิบายว่า ขณะนี้ทั่วโลกพูดถึงเมตาเวิร์สซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ โดยเฟซบุ๊กเห็นก่อนเพื่อน จึงเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นเมตา ซึ่งมาจากนิยายทางวิทยาศาสตร์ที่เขียนในปี 1992 เทคโนโยีหลักที่ใช้คือ virtual reality

“เฟซบุ๊กมูฟมาตัวนี้เพราะต่อไปจะมีรายได้ สมมติซาร่าจะขายของก็เข้าไปในโลกเสมือนจริง ไปลองเสื้อผ้า สี ไซส์เหมาะไหม เอาความจริงกับเสมือนจริงมาอยู่ด้วยกัน ใครมาอยู่ในโลกเมตาเวิร์สเขาอาจเก็บเงินเป็นเปอร์เซ็นต์หรือแบบอื่นก็ได้ เพราะการเก็บค่าโฆษณาในเฟซบุ๊คมันเริ่มล้าสมัยแล้ว”

“เทคโนโลยีตัวนี้จะใช้กับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น แม้กระทั่งกลิ่นก็จะมีในอีกไม่เกิน 9-10 ปี ในโลกเสมือนจริงจะซื้อน้ำหอมสามารถดมกลิ่นได้ด้วย ถ้าเราไม่เตรียมตัววันนี้เราจะถูกกินมากกว่าได้กิน เขาก็มาขายเรา เราก็มีหน้าที่จ่าย แต่ถ้าเราเตรียมตัว เด็กเราเก่ง เราก็ไปหากินกับเขาได้ อยู่ที่การเตรียมตัวล่วงหน้า ภาครัฐคงต้องเตรียมตัวล่วงหน้า”

“คนที่อยู่ในอำนาจการตัดสินใจมักมีความจริงแบบอนาล็อก แต่คนที่มีความคิดแบบดิจิตอล มักอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ โลกถึงช้า เราอยากเห็นรัฐบาลจริงจังในเรื่องนี้ ตั้งคณะกรรมการเมตาเวิร์สเลย เอาคนเก่งๆ เข้ามา จะได้รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไร สอนหนังสือเด็กยังไง เกมให้เด็กเล่นได้แค่ไหนอย่างไร เพราะมันเป็นการฝึกสกิลหรือความชำนาญ แล้วเด็กต่อไปนี้จะต้องมี technology literacy ความสามารถเหล่านี้ต้องฝึกตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะอยู่กับการขายวัตถุดิบการเกษตร หรือรับจ้างทำของโรงงานราคาถูก มันไปไม่ได้”

โทนี่ยังเล่าเรื่องงานเอ็กซ์โปที่จัดที่ประเทศดูไบด้วยว่า ได้มีโอกาสไปดูซุ้มประเทศต่างๆ  ซุ้มประเทศไทย สวยงามใหญ่โต งานศิลปะ งานครีเอทีฟดี ชักชวนคนท่องเที่ยวดี แต่มองไม่เห็นว่าอนาคตเราจะไปตรงไหน

“เราจะขายแค่วัฒนธรรม การท่องเที่ยว ขายสิ่งที่บรรพบุรุษมอบให้ไว้ เราไม่คิดจะสร้างอนาคตบ้าง .. ความจริงนายกฯ นั่งหัวโต๊ะต้องถามว่าเสียค่าก่อสร้าง เสียค่าใช้จ่ายแล้ว กระทรวงไหนจะโชว์อะไร น่าจะมีมากกว่านี้ เสียดายมาก มันเป็นการขายบุญเก่า”

“เราไม่มีส่วนของวิทยศาสตร์ เนื้อหาที่เป็นเทคโนโลยี สิ่งก้าวหน้าเรามีน้อยไป อย่าลืมว่าคนจะมาลงทุนกับเราเขาต้องคิดว่าเราต้องมีอนาคตแข่งขันได้ในโลกใหม่ ไม่ใช่โลกเดิม”

โทนี่ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์  2698E0DA-E662-425D-A820-3C58958F2624.jpeg

โทนี่ยังเล่าว่า ซุ้มของประเทศสหรัฐอเมริกาเน้นการขายเรื่องจรวดโดยเฉพาะที่ดีไซน์โดยอีลอน มัสก์ ซึ่งส่งดาวเทียมได้ถึง 60 เที่ยว ทำให้ค่าประกันถูกลง ค่ายิงก็ถูกลง ซุ้มของประเทศรัสเซียเน้นเรื่องสมอง หรือ neuroscience ดูพลังศักยภาพของสมองมนุษย์ น่าสนใจมาก

“ที่ผมเคยพูด คนไทยใช้สมองเพียง 20% เท่านั้นเอง ตายไปยมบาลต่อว่าอีกทำไมใช้สมองน้อย ใช้แต่แรงงาน ไม่ใช้สมองตัวเองเลย ทำตามแต่คำสั่ง ฉะนั้นเราต้องรีบใช้สมองเราเยอะๆ หน่อย โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ผู้ใหญ่มีหน้าที่คุมสมองที่เปรียมเสมือนรถไฟ ไม่ให้ทำอะไรบิดเบี้ยวจนตกรางแค่นั้น แต่อย่าไปกดหัวไว้ บินได้ให้บินไป” 

โทนี่กล่าวเตือนไปยังรัฐบาลว่าต้องเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันด้านเทคโนโลยีที่เข้มข้นขึ้นอย่างมากเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อไม่ให้เด็กไทยตกขบวน

“ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ให้เขาทำเรื่อง program coding ตั้งแต่สิบขวบ แล้วให้เรียนภาษาอังกฤษปนกับภาษาไทย การปรับปรุงคุณภาพครูอาจจะช้า แต่เราต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วย และใช้หลักสูตรอินเตอร์มาผสม ให้เขาเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของโลก เราต้องคิดว่าเราจะหากินในโลกนี้อย่างไร เป็น global citizen ทำอย่างไรให้เด็กรุ่นใหม่มีสกิล มีความสามารถในการวิเคราะห์ เรียนรู้เพิ่มเติมโดยตัวเองได้ นี่เป็นสกิลที่ต้องพยายามเพิ่มหลักสูตรทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เราต้องเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ ยกเครื่องได้แล้ว ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์มีความกล้าหาญ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวกล้ามาปฏิวัติ อันนี้เลิกได้แล้ว ห่วยแตก”

“ตัวรัฐบาลต้องหัดเรียนรู้ว่า โลกมันเกิดอะไรขึ้น ท่านพูดมาแต่ละเรื่องมันเชยดักดานเลย ผมว่ามันน่าห่วงถ้าท่านแสดงความเชยเรื่อยๆ และภูมิใจกับมัน เด็กรุ่นหลังเขาฉลาด ทุกอย่างที่เราพูดถูกเรคคอร์ดเขาค้นหาได้หมด มันต้องจริงจังหน่อยเกี่ยวกับอนาคต”

โทนี่ยังตอบคำถามผู้ฟังเรื่องการประยุกต์บล็อกเชนและ digital currency ในระบบราชการมากขึ้นว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดคอร์รัปชั่นลงได้ไหมว่า จะช่วยได้แน่นอน เพราะบัญชีของทุกคนจะไปรวมที่แบงก์ชาติ อีกหน่อยการใช้ธนบัตรมันแทบจะไม่มีใช้ เพราะทุกคนมีกระเป๋าเงินในมือถือ และจะเห็น transaction ว่าแต่ละคนใช้เงินกับอะไรบ้าง รัฐบาลก็สามารถเอามาทำ big data ดูพฤติกรรมการใช้เงินของประชาชนได้ เพื่อนำสู่การปรับนโยบายเศรษฐกิจให้เป็นประโยชน์มากขึ้น แต่ปัญหาที่น่าห่วงก็คือ เรื่องความปลอดภัยทางระบบที่ต้องระมัดระวังอย่างสูง

ยิ่งลักษณ์ แคร์ E-BD5F-31D16177CF54.jpegยิ่งลักษณ์ แคร์ B-B0244454B50C.jpeg

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เข้ามาร่วมวงเสวนาโดยนำแว่นตารุ่นใหม่ที่เรย์แบรนด์ร่วมกับเฟซบุ๊กทำขึ้นมาให้ผู้ชมได้ดู ปัจจุบันเพิ่งเปิดขายในไม่กี่ประเทศรวมถึงอังกฤษ รูปร่างเหมือนกับแว่นกันแดดธรรมดา แต่ใส่ฟีเจอร์เพิ่ม สามารถถ่ายภาพวิดีโอได้ สแนปช็อตได้ ฟังเพลง รับโทรศัพท์

"รุ่นนี้คุยกันเห็นชัดหน่อย ปรับแสงได้ แว่นจะเชื่อมกับ Facebook View" ยิ่งลักษณ์ ระบุพร้อมทั้งทดลองกดถ่ายภาพผ่านแว่นตาที่กำลังสวมใส่อยู่ โดยความละเอียดของภาพถ่ายนิ่ง 5 ล้านพิกเซล และสามารถถ่ายคลิปวิดีโอ ตัวนี้เป็นตัวเริ่มต้น ตัวนี้ไม่ใช่โลกเสมือนจริงเหมือนเกมที่ทำอยู่ แต่เราเห็นด้วยตาอย่างไร ภาพก็จะเห็นอย่างนั้น เวลาฉายไปก็จะเห็นเหมือนตาจริง โลกที่เห็นจริงกับโลกเหมือนจริงมารวมกันเป็นวิวัฒนาการแรกที่ทำ ดนตรีฟังเพลงเชื่อมบลูทูธได้ เชื่อว่าทุกเจ้าจะมาทำอย่างนี้ เชื่อว่าเทคโนโลยีจะเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆในอนาคต และธุรกิจนี้จะกว้างใหญ่" ยิ่งลักษณ์ ระบุ

มีผู้ฟังถามว่า เมตาเวิร์สจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร โทนีตอบว่า มันอยู่ที่ขีดความสามารถของรัฐบาลในการวางให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจเทคโนโลยีและเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงที่สุด รัฐบาลเท่านั้นจะมีบทบาทในการแก้ตรงนี้

มีผู้ฟังถามว่า ทำไมอดีตนายกฯ ยังตามเทคโนโลยีที่วัยรุ่นกำลังฮิตได้ทัน โทนี่ตอบว่า “ผมชอบอ่าน articel ใหม่ๆ เช่น เขาพูดถึงความชอบของคนในวัยต่างๆ คนเจนซีชอบใส่กางเกงยีนตัวใหญ่ แต่คนเจนวาย ชอบใส่กางเกงสกินนี่ เราไปสังเกตดูก็จริง แล้วผมก็เดินทางเยอะก็สังเกตนั่นนี่ แล้วคุยกับลูกเจนวาย คุยกับหลาน ดูพฤติกรรมของหลานซึ่งเป็นเจนอัลฟ่า ก็พยายามเข้าใจ วันนี้เราจะต้องเข้าใจมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกพร้อมกับเรา ที่มีแต่ละเจนที่ต่างกัน ถ้าตามให้ทันเราก็จะเข้าใจเขา เขาก็จะเข้าใจเรา”

มีผู้ฟังถามเรื่อง ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับประเทศไทยที่ปรับตัวเรื่องโควิดได้ช้า ขณะที่หลายประเทศมีนโยบายอยู่กับโควิดแล้ว โทนี่ตอบว่า วันนี้เพิ่งอ่านตัวเลขสวีเดน เป็นประเทศเดียวในยุโรปที่ไม่ล็อกดาวน์เลย พบว่า อัตราการตาย อยู่ที่ 21 จากทั้งหมด 31 ประเทศ อัตราการติดเชื้อก็ไม่สูง ตอนนี้ก็ยัง 100 ต่อ 1 ล้านคนโดยที่เขาไม่เสียหายเลย เศราฐกิจกำลังไปได้ดีมาก คนอื่นกำลังค่อยๆ คืบคลาน เขาเสียหายน้อยกว่าเราเยอะ

“price to pay คือ เศรษฐกิจ จะมีครอบครัวที่ยากจนเพิ่มขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจน้อยเกินไป หลายประเทศใช้เงินหลวงต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้แต่สิงคโปร์ก็ยอมแพ้ 28 พ.ย.เปิดหลายประเทศแล้ว เพราะรู้แล้วว่ามันแพงเว้ย โง่ไปตั้งนาน ล็อกดาวน์อยู่ได้ ตอนนี้ทุกคน ทุกครอบครัว ทุกธุรกิจ เตรียมตัวกลับไปสู่จุดเดิมและต้องไล่ตามเทคโนโลยีให้ทันเพื่อปรับธุรกิจตัวเองให้ทำมาหากินได้ดีกว่าเดิม”

นอกจากนี้ยังมีการสนทนากันเรื่อง การตรวจหาเชื้อโควิดจาก DnaNudge ซึ่งเทียบกับการตรวจแบบ PCR ในห้องปฏิบัติการ และกระทั่งสามารถแยกไวรัสว่าเป็นตัวไหน แต่ขณะนี้กำลังทดสอบอยู่โดยหน่วยงานรับผิดชอบถึงกับต้องแก้เครื่องออกมาดูว่าทำงานอย่างไร ซึ่งเป็นการตรวจสอบที่ซ้ำซ้อนเพราะมีเอกสารการศึกษาที่ได้มาตรฐาน มีผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศอธิบายยืนยันอย่างครบถ้วนแล้ว ทำให้คนไทยได้ใช้งานเครื่องมือตัวนี้ล่าช้าออกไปอีก

มีผู้ฟังถามเรื่อง soft power ประเทศไทยจะมีโอกาสส่งออกหนังอย่างสควิดเกมได้หรือไม่ โทนี่ตอบว่า คิดว่ามีโอกาส แต่สเกลยังไม่น่าจะใหญ่ ไม่มีเอกชนที่ใหญ่พอ อาจเป็นไปได้ถ้าเอไอเอส ทรู จะสร้างธุรกิจสายนี้ขึ้นมา เพราะคนไทยมีศักยภาพ แต่คนไทยยังค้นหาตัวเองไม่ค่อยเจอ เรื่อง soul searching รัฐบาลต้องคิดว่าจะช่วยเด็กค้นหาตัวเองได้อย่างไร เก่งด้านไหน จะเป็นเลิศด้านไหน เอาจริงเอาจังกับมัน แล้วเปิดโอกาสให้จริงจังด้วย

มีผู้ฟังถามเรื่อง ผักชีและความสามารถในการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรของพล.อ.ประยุทธ์ โทนี่ตอบว่า สินค้าเกษตรส่วนใหญ่ราคาตก เขาไม่สามารถทำให้ราคาขึ้น ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด การปลูกผักชีในค่ายทหารคือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ใช้ที่หลวง ใช้น้ำไฟหลวง แล้วขายแข่งกับชาวบ้าน ที่บังเอิญมันขึ้นราคาเพราะอาจน้ำท่วม ผักชีออกสู่ตลอดน้อย เป็นระบบอุปสงค์อุปทานธรรมดา พวกนี้เป็นพืชที่ราคาขึ้นเร็วและปรับตัวลงได้ ไม่ต้องเอาค่ายทหารมาทำ ค่ายทหารพื้นที่ค่อนข้างจะเยอะเกินไป เอามาแบ่งให้คนทำกินดีกว่า

มีผู้ฟังเข้ามาแลกเปลี่ยนเรื่อง ข้าวอินทรีย์ โดยระบุว่า ราคาข้าวเปลือกอินทรีย์เคยมีราคาถึง 9-12 บาทต่อก.ก. ขณะที่ต้นปี 2564 อยู่ที่ 8-10 บาทตอนนี้อยู่ที่ 5 บาท ขณะที่เจ้าหน้าที่ สมอช.มาตรวจคุณภาพ มีข้อกำหนดมากมาย กระบวนการตรวจสอบยาวมาก ชาวนาก็ทำตามทุกอย่าง สุดท้ายเมื่อข้าวเราได้คุณภาพแล้วก็ไม่รู้ตลาดอยู่ตรงไหน  

โทนี่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สมัยมีการปฏิวัติ ข้าวดีก็ขายเป็นข้าวเน่า คนมีเส้นก็ไปซื้อถูก ทำให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวเลยต้องขายขาดทุนด้วย การส่งออกของเราวันนี้ต้องยอมรับว่าเวียดนามราคาถูกกว่า เพราะผลผลิตต่อไร่เขาสูงกว่าเรา เลยขายได้ถูกกว่า

การที่พูดถึงข้าวอินทรีย์ รัฐบาลต้องส่งเสริมไม่ใช่ควบคุมโดยการเอากติกาไปวาง ที่เมืองนอกให้ควบคุมตัวเอง มีหลักเกณฑ์ให้ทำตามถ้าไม่ทำก็ถูกลงโทษ สมมติจะติดป้ายว่าผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เงื่อนไขครบไหมตามที่วาง คุณติดป้ายว่าข้าวอินทรีย์ บริษัทรับซื้อจะได้รู้ ราคาก็แพงกว่าปกติ เมืองนอกมีร้านที่ขายออแกนิคทั้งหมด เกษตรกรไปขายได้ มันจะเป็นลักษณะที่มีระบบของมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การผลิตถึงการขาย ต้องวางกลไกให้ได้อย่างนี้

รัฐสมัยประชาธิปไตยทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ภาคประชาชน เอกชน ในการทำมาหากิน แต่รัฐสมัยเผด็จการจะเป็นลักษระการควบคุม ใช้ law and order อย่างเดียว แต่ไม่ได้ใช้กลไกตลาด การมีวินัยในตัวเอง เป็นจุดเริ่มต้นที่ต่างกัน เหมือนติดกระดุมผิด วันนี้เราต้องวางยุทธศาสตร์ภาพรวมการเกษตรเสียใหม่ แล้วใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย วันนี้การเกษตรเราต้องยอมรับว่าขาดการเหลียวแล คนเป็นเกษตรกรค่อนข้างลำบาก

มีผู้ฟังถามว่า เคยได้ยินว่า ปี 2030 จะเป็น future learning ใบปริญญาอาจไม่มีความสำคัญ คนจะสนใจหลักสูตรระยะสั้นและมีความเฉพาะทาง จะจริงไหม โทนี่กล่าวว่า ในต่างประเทศเขาไม่ได้สนใจปริญญาเวลารับคนทำงาน เขาถามว่าคุณทำอะไรเป็น ชำนาญด้านไหน แต่บ้านเราบางคนทำปริญญาทีละหลายใบ ไม่รู้จะเอามาทำวอลเปเปอร์หรืออย่างไร ความจริง knowledge อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีประสบการณ์และการเรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งอาจไม่ใช่การเรียนรู้ในห้องเรียน แต่ต้องค้นหาตัวเองให้เจอว่าเราจะเอาดีทางไหน ถนัดทางไหน เราทำแล้วมีความสุขกับมันไหม ทำมาหากินได้ อีกอันที่ต้องเตรียมตัวหลังล็อคดาวน์คือ คนจะทำงาน WFH เยอะ คนเดียวทำงานหลายบริษัทก็จะเยอะขึ้น ถ้าชำนาญหรือเก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็จะมีคนจ้างเยอะ

มีผู้ฟังถามว่า ประเทศไทยกำลังรีเวิร์สและการรีเวิร์สนั้นสร้างปัญหา คุณโทนี่ก็พูดถึงกฎหมายที่รีเวิร์ส ซึ่งมันมีผลทำให้คนรุ่นใหม่หลายๆ คนงอนมาก และเขาตีความกันแบบนั้นมันถูกไหม หลายคนฟาดงวงฟาดงา อยากให้อธิบายให้กระจ่าง

โทนี่ตอบว่า “ตอนนั้นจริงๆ มันพูดสั้น ผมจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนมันมีระบบคณะกรรมการรับเรื่องว่าจะฟ้องเป็นคดีหรือไม่ ระยะหลังใครก็ยื่นฟ้องได้ สะเปะสะปะ ตำรวจก็รับหมด สอบจนเป็นเรื่องหมด ทั้งที่บางครั้งไม่เข้า ก็สอบจนเข้า นี่คือสิ่งที่มันเลวร้าย สิ่งเหล่านี้ต้องรีบแก้ไข”

“โทษ 15 ปีมันมากไป อาจต้องแก้ไขเรื่องโทษ แต่กฎหมายจริงๆ ต้องมาดูเรื่องวิธีการให้ถูกต้องดีกว่า มีกระบวนการในการแจ้งความ ไม่ใช่เหมือนทุกวันนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้พังหมด ประเทศมีแต่แตกแยกมากขึ้นเรื่อยๆ”

“เด็กรุ่นใหม่ จริงๆ วิธีคิดเขาหวังดี ปรารถนาดี แต่ถูกตีความเป็นว่าเขาไม่จงรักภักดีบ้างอะไรบ้าง ทำให้ปัญหาลุกลามใหญ่โต ผมก็บอกนายกฯ ว่า อย่าคิดว่าเสียเหลี่ยมเสียอะไร นั่งคุยกับเด็กบ้าง เขาจะได้รู้ว่าจะมีอนาคตอย่างไร ตรงไหนมัปัญหาแก้ไขได้ไหม แก้ไม่ได้ก็บอกแก้ไม่ได้ ตรงไหนแก้ได้บอก”

“ผมจะบอกว่าเมื่อก่อนมันไม่มีปัญหา แต่ความเฮงซวยของระบบบริหารจัดการ มองทุกอย่างเป็นเรื่องเผด็จการ ไม่เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพในการพูดของคน ถ้าเราไม่ใช้ระบบเผด็จการ ใช้ระบบประชาธิปไตย เราจะไม่ปล่อยให้มันเละอย่างนี้ แล้วพอเละ ศาลก็ไม่ให้ทำเรื่องสิทธิประกันตัว”

“พรรเพื่อไทยจะเอาเรื่องนี้เข้าสภาก็เป็นเรื่องที่ดี ทำอย่างไรให้สิทธิประกันตัวแก่เด็ก ทำอย่างไรให้โทษไม่สูงเกินไป ทำอย่างไรให้การพิจาณามันเป็นธรรมกว่านี้ไม่ใช่เสะเปะสะปะจนเกิดความแตกแยกในสังคม”

มีการถามเรื่อง การเหยียดคนอีสาน โทนี่กล่าวว่า “ต้องขอร้องเลย วันนี้ที่แดงเหลืองแบ่งคน ก็พังไปแล้ว เสียหายไปแล้ว เวลาเราเข้าไปในเอ็กซ์โปร์ เป็นการรวม mind แล้ว fulfill อนาคต แต่ของเรามันคนขี้อิจฉา ขี้ดูถูกคน สร้างความแตกแยกในประเทศ ทางการเมืองไม่พอ ยังทางภูมิภาค ทางชนชั้นอีก ขอร้องเลย ถ้าใครคิดอย่างนี้ช่วยตบปากตัวเอง อย่าคิดอย่างนี้เลย มันทำลายบ้านเมือง”

“คนกรุงเทพฯ ไม่กี่คนหรอกที่ดูถูกคนอีสานหรือดูถูกคนจน เขาไปดูผล ไม่ได้ดูเหตุ ไปอ้างว่าเขาขี้เกียจถึงจน เป็นคนโง่ไม่มีการศึกษา แต่หารู้ไม่ว่า เหตุก็เพราะคุณให้งบในการพัฒนาอีสานซึ่งมีจำนวนประชากรมากไม่เป็นสัดส่วนกับภาคอื่นโดยเฉพาะกรุงเทพฯ เลยทำให้เขาได้รับการพัฒนาน้อย ไม่มีตังค์ส่งลูกเรียนหนังสือ บางทีลูกก็เป็นกำลังสำคัญในการทำการเกษตรเลยไม่เรียน เป็นการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียม ทำให้โอกาสทางการศึกษาต่ำ พอรัฐบาลที่เขาเลือกมาแก้ปัญหาให้เขา ก็ทำการปฏิวัติไล่เขาออกไป ความไม่แฟร์นี้เกิดจากการเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดจาการบริหารงานที่ไม่เป็นธรรมมานานมาแล้ว และทุกอย่างก็สั่งจากส่วนกลาง ยัดเยียดของที่เขาไม่ต้องการ ของที่เขาต้องการไม่ให้ ไม่ฟังเขา เวลาหาเสียงก็หากับเขา เวลาเลือกตั้งเสร็จก็ทอดทิ้งเขา เป็นอย่างนี้มาช้านาน”

ขณะที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า "วันนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะค่ะ โลกต้องแข่งขันกับหลายประเทศ ฉะนั้นหันหน้าเข้าหากันเถอะค่ะ มาสามัคคีซึ่งกันและกัน แล้วช่วยกันลดช่องว่างคนรวย คนจน หรือสังคมเมืองและสังคมชนบท พี่น้องคนอีสานเป็นคนที่รักใคร รักจริงนะคะมีความจริงใจ อย่าดูถูกกัน หันกลับมาเข้าหากันและรักกัน เราเป็นคนไทยด้วยกัน สามัคคีกัน แข่งขันกับประเทศอื่น วันนี้โลกไปถึงไหนแล้ว เราอย่าทะเลาะกันเองเลยนะคะ" 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง