ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน และแก๊ซโซฮอล์ ยังคงต้องแบกรับภาระอุ้มราคาน้ำมันดีเซลต่อไปอีก หลังจากที่คณะกรรมการบริหารงานพลังงานประกาศเพิ่มเงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลอีกลิตรละ 30 สตางค์ ส่วนใครที่มีภาระเงินกู้ปีนี้คงต้องยอมรับสภาพ ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน
ปีนี้เป็นปีที่คนมีเงินฝากอาจจะพอยิ้มออกบ้างเพราะดอกเบี้ยกำลังกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่สำหรับคนมีภาระการกู้ยืมแล้ว การขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้งเท่ากับเงินในกระเป๋าที่หายไปมากกว่าเดิม และมีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ คงจะมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 0.5%
คุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาบอกว่า ในปีนี้ คณะกรรมการนโยบาย การเงิน หรือ กนง. ยังต้องทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไป เพื่อนำนโยบายการเงิน เข้าสู่ภาวะปกติ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และมองว่า การที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ จะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
แบงก์ชาติมองว่าอัตราเงินเฟ้อ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจในปีนี้ และ ยอมรับว่า ปัจจัยการเมือง ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจไทยเช่นกัน
ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยของไทย กลับสู่ขาขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว หลัง กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ย นโยบายรวม 3 ครั้งๆ ละ 0.25% จากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25% ส่งผลให้ล่าสุดดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 2.25% โพลล์หลายสำนักมีความเห็นว่าในเดือนมีนาคม กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 3%
ส่วนการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนในปีนี้ แบงก์ชาติจะยึดหลักการที่ให้เงินบาทยืดหยุ่น และเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และกลไกตลาด โดยจะไม่กำหนดระดับที่เหมาะสมของค่าเงินบาท แต่แบงก์ชาติพร้อมจะเข้าไปแทรกแซง ดูแลไม่ให้เงินบาทระยะสั้นผันผวนมากเกินไป เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้ ขณะเดียวกันได้มีการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งมีระดับความเข้มงวดที่ต่างกัน เพื่อรองรับกับสถานการณ์ความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ทั้งเงินบาท และตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก โดยเฉพาะวันจันทร์ ที่เราได้เห็นตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงวันเดียวลงไป 42 จุด หลุด 1000 จุด ส่งผลให้ดัชนีลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 4 เดือน ขณะที่ค่าเงินบาทก็มีความผันผวนอย่างมาก
ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมายอมรับว่า ค่าเงินบาทในช่วงนี้ ยังไม่มีทิศทาง ชัดเจน เนื่องจากนักลงทุนแต่ละกลุ่มในตลาดมีมุมมองต่างกัน ทำให้การเคลื่อนไหว ของเงินบาท มีทั้ง 2 ทิศทาง ตามแรงซื้อและแรงขายที่เข้ามาในตลาด
แบงก์ชาติ มองว่า แม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นผันผวน เพราะมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาแต่ยังไม่เห็นการไหลออกของเงินทุน เพราะเงินลงทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นยังมีไม่มาก เมื่อเทียบกับเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผันผวนนี้ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับทั้ง ภูมิภาค เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ หากไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอะไร
มาถึงเรื่องใกล้ๆตัวที่กระทบกับเงินในกระเป๋าโดยตรง ผู้ใช้น้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ ดูเหมือนว่าจะมีภาระหนักขึ้นในการเข้าไปอุ้มราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท เพราะล่าสุดทางคณะกรรมการนโยบายพลังงาน ได้ประกาศนำเงินกองทุนนำมันเข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอีกลิตรละ 30 สตางค์
คณะกรรมการนโยบายพลังงาน เห็นชอบนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล B3 อีก 30 สตางค์ต่อลิตร เพื่อพยุงให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร โดยวงเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลที่เตรียมไว้ 5 พันล้านบาทนั้น คาดว่าจะ ใช้สามารถพยุงราคาน้ำมันดีเซลได้อีก 26 วัน
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีพลังงานบอกว่าหลังจากวงเงิน 5 พันล้านบาทหมด และราคาน้ำมันในตลาดโลกยังไม่ปรับลงมา รัฐบาลจะเข้ามาดูแลอะไรเพิ่มเติมได้อีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ตัดสินใจ
หลังจาก กบง.อนุมัติเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มครั้งนี้ ทำให้การอุดหนุนน้ำมันดีเซล B3 เพิ่มเป็น 1 บาท 95 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจะทำให้มีเงินไหลออกเพิ่มขึ้นเป็�� 3,667 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ฐานะ กองทุนน้ำมันล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 25,427 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้ใช้เงินกองทุนน้ำมันในวงเงิน 5 พันล้านบาท อุดหนุนราคาดีเซลมาแล้วตั้งแต่ 17 ธันวาคมปีที่แล้ว โดยใช้เงินไปแล้วกว่า 2 พันล้านบาท ขณะที่กองทุนน้ำมัน ยังมีภาระการอุดหนุนพลังงานทดแทนและการอุดหนุนส่วนต่างราคาน้ำเข้าก๊าซ LPG อีกด้วย
ส่วนความคืบหน้าเรื่องสัมปทานโทรศัพท์มือถือนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีบอกว่า ได้ส่งรายงานผลสอบของคณะกรรมการมาตรา 22 กรณีตรวจสอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์ เคลื่อนที่ของผู้ประกอบการ ให้กับนายกรัฐมนตรีแล้ว และเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
คุณจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีไอซีทีบอกว่า หลังการรับทราบข้อสรุป ท่านนายกฯ ได้ให้นโยบายว่าอย่าเลือกปฏิบัติ ให้ดูแลผู้ประกอบการอย่างเท่าเทียมกันหมดทุกราย ทั้งนี้การส่งรายการผลสรุปนี้มีทั้งของเอไอเอส ดีแทค ทรูมูฟ สัมปทานของไทยคม แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
การดำเนินการหลังจากนี้ จะเสนอข้อสรุปของคณะกรรมการตามมาตรา 22 และ ความเห็นของกระทรวงไอซีที เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ซึ่งภายหลังครม. มีมติออกมา จีงจะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างใดต่อไป
ส่วนกระแสวิจารณ์ว่ารัฐบาลต้องการที่จะดำเนินการกับเอไอเอสเพียงรายเดียวนั้น นายจุติ บอกว่า กรณีของ AIS แตกต่างจากรายอื่น เนื่องจากมีคำพิพากษาของศาลฎีกา แล้วซึ่งถือว่าเป็นที่สิ้นสุด ทั้งนี้คงต้องจับตาดูว่า ทางนายกรัฐมนตรี จะอนุญาตให้ผู้บริหารระดับสูงของสิงค์เทล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของเอไอเอส จากสิงคโปร์ เข้าพบหารือในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้หรือไม่
ในขณะที่การประมูลคลื่นความถี่ 3G ในบ้านเรายังไม่เกิด แต่ผู้ประกอบการก็ตื่นตัวเรื่องการให้บริการ 3G กันมาก โดยเอไอเอส เตรียมขยายการลงทุนขยายการให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิม ขณะที่ทรูมูฟ บรรลุข้อตกลงในการให้บริการ 3G บนเครือข่ายของทาง กสท.โทรคมนาคมแล้ว
เอไอเอสเตรียมใช้งบลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท เพื่อการทำ 3G บนเครอข่าย 900 เมกะเฮิตส์เดิม โดยจะเริ่มทยอยให้บริการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องภายในไตรมาส 3 ซึ่งทางเอไอเอส จะมีจำนวนสถานีฐาน 3G บนคลื่น ความถี่ 900 เมกะเฮิร์ตซ์ อยู่ที่ 1,884 แห่ง ครอบคลุมกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล เชียงใหม่ โคราช ขอนแก่น ชลบุรี หัวหิน นครปฐม และภูเก็ต
ขณะที่ทางทรูคอร์ปอเรชั่น แจ้งว่า บริษัทย่อย ยังได้ลงนามในสัญญาต่างๆ กับ กสท.โทรคมนาคม เพื่อดำเนินการขายส่งบริการและขาย ต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนเทคโนโลยี HSPA (เอช เอส พี เอ) ของกสท.เรียบร้อยแล้ว ส่งผลบริษัทย่อยของ TRUE กลายเป็นผู้ให้บริการ 3G บนเทคโนโลยี HSPA ได้ทั่วประเทศ ได้รับประโยชน์จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเตอร์เน็ตไร้สายในปัจจุบัน
ทางทรูคาดว่า การดำเนินการครั้งนี้ จะทำให้รายได้จะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 4,300ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 54 นี้ โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 5-6 พันล้านบาท ในช่วง 2 ปี เพื่อให้ CDMA เป็นระบบ HSPA หลังจากที่เปิดให้บริการระบบ HSPA แล้ว คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนใน อีก 3 ปี และคาดว่า หลังเปิดใช้ระบบ HSPA จะมีลูกค้าใช้บริการราว 3 ล้านเลขหมาย
ส่วนการประมูลโครงการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์ 3G ของทางบริษัท ทีโอที จำกัดมหาชน ก็สามารถที่จะเดินหน้าได้ หลังจากศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกคำร้องของทางอีริคสัน และกลุ่มกิจการร่วมค้าแซดทีอี ที่ขอให้คุ้มครองการประมูล หลังจากทั้งสองกลุ่ม ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามเงื่อนไข หรือ ทีโออาร์
Produced by VoiceTV