เศรษฐกิจจีนที่เติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ประชาชนมีกำลังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ก็เกิดความกังวลว่าคนจีนรุ่นใหม่กำลังกู้เงินเพื่อมาซื้อรถยนต์และคอนโดราคาแพงจำนวนมาก จนนำไปสู่ภาวะสะสมของหนี้สินภาคครัวเรือน และอาจก่อให้เกิดวิกฤตด้านสินเชื่อรุนแรง
มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิตและการกู้ยืมเงินของสหรัฐฯ ลดความน่าเชื่อถือของจีนจากระดับ Aa3 ลงมาเหลือ A1 ซึ่งเป็นการลดระดับครั้งแรกในรอบ 30 ปี เนื่องจากเกิดความกังวลว่าหนี้ภาคครัวเรือนในจีนกำลังพุ่งสูงขึ้น ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจก็ค่อยๆชะลอตัว โดยพบว่าชาวจีนรุ่นใหม่จำนวนมาก กำลังก้าวเข้าสู่วังวนของการเป็นหนี้จากการกู้เงินธนาคารเพื่อซื้อรถยนต์ราคาแพง และคอนโดที่มีขนาดใหญ่โดยไม่มีความจำเป็น
หลังจากที่จีนเปิดเสรีด้านการเงินเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อปี 2008 ทำให้หนี้สินภาคครัวเรือนของจีนเพิ่มมากขึ้นประมาณปีละ 11 % จนขณะนี้พุ่งสูงกว่า 260% หากเทียบกับผลผลิตมวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี โดยก่อนหน้านี้หนี้สินภาคครัวเรือนของจีนอยู่ที่ 140% ของจีดีพี ซึ่งหากหนี้สินภาคครัวเรือนยังคงเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเท่าเดิม จะทำให้จีนมีหนี้สินภาคครัวเรือนสูงถึง 66 ล้านล้านหยวนภายในปี 2020 ประกอบกับการที่เศรษฐกิจจีนกำลังเจอกับปัญหาชะลอตัว ทำให้เกิดความกังวลว่าจะทำให้เกิดวิกฤตด้านสินเชื่อที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐฯเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
การที่หนี้สินภาคครัวเรือนในจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ย่อมหมายความว่าสถาบันการเงินมีมาตรฐานการปล่อยเงินกู้ที่ต่ำลง ผู้ปล่อยกู้มีการเสนอข้อจูงใจในการกู้ยืม เช่นเงื่อนไขเบื้องต้นง่ายๆ ทำให้การกู้เงินเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งมีโอกาสเป็นหนี้เสียสูง ซึ่งการกู้เงินในจีนส่วนมากเป็นการกู้เพื่อไปซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากธนาคารจีนให้ดอกเบี้ยการออมเงินต่ำ ตลาดหุ้นก็มีความเสี่ยงสูง คนจีนส่วนมากจึงนิยมซื้อบ้านหรือคอนโดเพื่อการลงทุน
นอกจากนี้คนหนุ่มสาวที่กำลังจะแต่งงานในจีนก็จำเป็นที่จะต้องกู้เงินเพื่อมาซื้อคอนโด ไม่ว่าราคาจะขึ้นสูงแค่ไหนก็ตาม เพราะว่าเป็นค่านิยมที่ใครคิดจะแต่งงานก็ควรจะมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเองก่อน ซึ่งราคาคอนโดที่พุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในจีน ก็ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนได้
การกู้ธนาคารเพื่อนำเงินมาซื้อรถยนต์ในจีนก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 40% ต่อปี เนื่องจากมีดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ทำให้คนจีนรุ่นใหม่รู้สึกว่าการขับรถยนต์ราคาแพงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แม้หลายๆประเทศจะมีระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงใกล้เคียงกับประเทศจีน แต่มูดีส์ก็บอกว่า ประเทศอื่นๆ มีรายได้ประชากรต่อหัวที่สูงกว่าประเทศจีน และสถาบันการเงินก็มีความแข็งแกร่งมากกว่า จึงทำให้ไม่มีความน่ากังวลเท่ากับสถานการณ์ในประเทศจีน
ขณะนี้ทางการจีนก็กำลังพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยการกำชับให้สถาบันการเงินควบคุมการปล่อยเงินกู้ให้รัดกุมมากขึ้น แต่หลายฝ่ายก็เชื่อว่าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะการปล่อยเงินกู้ให้ประชาชนไปใช้จ่ายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จีนใช้ผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของประเทศไทย ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนก็ลดลงมาบ้าง โดยข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2016 ไทยมียอดคงค้างหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 11 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 81.1% ต่อจีดีพี ลดลงจากปีก่อนหน้า (2015) ที่อยู่ระดับ 81.6 % ต่อจีดีพี ถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมเชิงเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยรักษาวินัยทางการเงินมากขึ้น