เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมหลายแห่งในยุโรปพากันออกมาตรการจัดการผลกระทบที่ตามมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว หลังชาวบ้านก่อเหตุประท้วงขับไล่ผู้เยี่ยมเยือนต่างชาติ
แม้การท่องเที่ยวช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล แต่ทว่าคนท้องถิ่นพบว่าคลื่นนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าไปในย่านร้านค้ากลับกลายเป็นฝันร้าย
ผู้คนในย่านบาร์เซโลเนตา เมืองบาร์เซโลนา ร้องเรียนมานานหลายปีเกี่ยวกับพฤติกรรมยอดแย่ เช่น เมาโหวกเหวกอาละวาด ร่วมรักในที่สาธารณะ ค่าเช่าที่อยู่อาศัยแพงจนต้องย้ายหนี
เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คนท้องถิ่นนำป้ายไปติดบนชายหาด เขียนข้อความว่า “ตึกอาคารบ้านเราไม่เอานักท่องเที่ยว” เหตุประท้วงทำนองนี้เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆของสเปนเช่นกัน
แม้สเปนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ติดอันดับโลก แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเริ่มตระหนักถึงผลกระทบ มีการออกมาตรการบรรเทาต่างๆ เช่น จำกัดปริมาณผู้เยี่ยมเยือนหมู่เกาะบาเลียริก ที่ตั้งของเมืองตากอากาศ พัลมา เดอ มายอร์กา
เวนิสเป็นอีกเมืองที่จำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว ตอนนี้กำลังใช้ระบบจองล่วงหน้าสำหรับคนที่จะเข้าชมจัตุรัสเซนต์มาร์กในช่วงชั่วโมงที่คนแน่น และปรับเงิน 500 ยูโรหากใครลงว่ายน้ำในคลองหรือทานอาหารปิกนิก ที่เมืองฟลอเรนซ์ มีการฉีดน้ำใส่ขั้นบันไดหน้าโบสถ์กันเลยทีเดียว เพื่อไม่ให้คนลงนั่งกินของว่าง
แม้แต่เมืองดูบรอฟนิก ที่อยู่ในสาธารณรัฐโครเอเชีย ก็เป็นอีกเมืองที่ได้รับผลประทบจากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจำนวนมาก หลังถูกใช้เป็นฉากในการถ่ายทำในซีรีย์ “Game of Thrones” พนักงานโรงแรมรายหนึ่ง บอกว่า บางครั้ง ต้องรอคิวนาน 1 ชั่วโมงท่ามกลางอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส กว่าจะเข้าไปในย่านเมืองเก่าได้ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้
นอกจากนี้การเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมก็ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนท้องถิ่นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ชาวบ้านในเขตย่านเก่าที่ว่าอัลฟามา ประสบปัญหาอย่างหนัก เมื่อธุรกิจที่พักดันราคาให้สูงขึ้นมาก ค่าเช่าห้องแพงกว่าเงินเดือนเฉลี่ยเสียอีก
ปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองในยุโรปเกิดจากการขยายตัวของธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำและเรือสำราญราคาถูก ทำให้กลุ่มคนชนชั้นกลางกำลังเงินเพียงพอที่จะเดินทางท่องเที่ยวนอกประเทศได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
Source:
https://news.voicetv.co.th/world/516205.html
http://www.bbc.com/thai/international-40622520