ไม่พบผลการค้นหา
World Trend - มูลค่า 'บิตคอยน์' ตกลงต่ำสุดในรอบเดือน - Short Clip
Biz Feed - แพทย์แคนาดาค้านขึ้นค่าแรงตัวเอง - Short Clip
CLIP Biz Feed : 5 ธุรกิจสำหรับนักลงทุนยุคมิลเลนเนียล
Biz Feed - บิทคอยน์เข้าใกล้สถานะสกุลเงินหลักอีกขั้น - Short Clip
Biz Feed - Biz Insight : มูลค่า 'อาลีบาบา' สูงกว่าศก. 136 ประเทศรวมกัน - SHORT CLIP
Biz Feed - เอเชียยังลงทุนในเมียนมาแม้มีวิกฤตโรฮิงญา - Short Clip
Biz Feed - นักท่องเที่ยวอินเดียหลั่งไหลเข้าไทย 1.4 ล้านคน - Short Clip
Biz Feed - ผู้บริโภคยุคใหม่ชอบ-เชื่อเทคโนโลยีมากขึ้น - FULL EP.
Biz Feed - บริษัทไทยจับมือต่างชาติพัฒนาพลังงานสะอาด - FULL EP.
ควีนอังกฤษได้ขึ้นเงินปี 8% 
Biz Feed - Biz Insight : ให้คะแนนทรัมป์ สอบผ่านหรือไม่ในทริปเยือนเอเชีย? - SHORT CLIP
Biz Feed - ไทยเบฟฯ ชนะประมูลหุ้น 'ซาเบโก' ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ในเวียดนาม - Short Clip
CLIP Biz Feed : จ่าย 2 ล้านได้อยู่ไทยแบบอภิสิทธิ์ชน 20 ปี
นโยบายจำนำข้าวคิดผิด..เลิก..เเล้วคิดใหม่ได้
World Trend - กูเกิล-เฟซบุ๊ก 'เอาอยู่' แม้เผชิญข่าวฉาวตลอดปี 2018 - Short Clip
Biz Feed - ไทยรั้งท้าย-ถูกลดอันดับ 'ดัชนีนวัตกรรมโลก 2018' - Short Clip
Biz Feed - เส้นทางเน็ตฟลิกซ์จากเช่าวิดีโอสู่สตรีมมิง - Short Clip
Biz Feed - เซ็นทรัลปักธงแลนด์มาร์คเฉลิมฉลองปีใหม่แห่งเอเชีย - Short Clip
World Trend - ยอดขายหัวเว่ยทะลุแสนล้าน แม้ถูกกีดกันจากทั่วโลก - Short Clip
CLIP Biz Feed : ห้างใกล้ตาย แต่อี-คอมเมิร์ซเปิดร้านขายปลีก
Biz Feed - บิทคอยน์ร่วงเพราะรัฐบาลในเอเชีย? - Short Clip
Jan 18, 2018 03:23

ราคาบิทคอยน์ที่ร่วงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ถึงจุดที่อาจเรียกว่าฟองสบู่แตก เมื่อราคาลงไปแตะ 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเกิดจากการพยายามจัดระเบียบสกุลเงินดิจิทัลของรัฐบาลในเอเชีย แต่ในอีกด้าน มีการคาดการณ์ว่าปีนี้ จะได้เห็นราคาบิทคอยน์พุ่งแตะ 100,000 ดอลลาร์

หลังจากบิทคอยน์ สกุลเงินดิจิทัลหลักของโลก ได้รับการยอมรับให้มีการซื้อขายล่วงหน้าในบรรษัทการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯในช่วงเดือนธันวาคม 2017 ราคาก็พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนแตะ 20,000 ดอลลาร์ เนื่องจากมีสัญญาณว่าบิทคอยน์กำลังได้รับการยอมรับในแวดวงการเงินกระแสหลักของโลก

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ราคาบิทคอยน์ก็ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ลงมาเหลือประมาณ 15,000 ดอลลาร์ เนื่องจากในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการใช้บิทคอยน์ถึงร้อยละ 20 ของการทำธุรกรรมบิทคอยน์ทั้งโลก ประกาศว่าจะจัดระเบียบสกุลเงินดิจิทัล เก็บภาษีผู้ที่ได้กำไรจากการค้าสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงอาจมีการแบนสกุลเงินดิจิทัล ขณะที่จีนก็กวาดล้างสกุลเงินดิจิทัลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และล่าสุดก็มีการไล่ปิดร้านรับแลกเงินดิจิทัลด้วย 

การจัดระเบียบและท่าทีกีดกันการเติบโตของสกุลเงินดิจิทัลในหมู่ประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของเอเชีย ทำให้ภายในคืนวันอังคารที่ผ่านมาเพียงคืนเดียว บิทคอยน์สูญเสียมูลค่ารวมทั้งโลกไป 206,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 6.6 ล้านล้านบาท และกลับมาอยู่ในระดับ 10,000 ดอลลาร์ เท่ากับเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา กลายเป็นคืนที่นักลงทุนขนานนามว่า "cryptocalypse" หรือวันโลกาวินาศของคริปโตเคอเรนซี (สกุลเงินดิจิทัล) และทำให้สกุลเงินดิจิทัลรายย่อยอื่นๆเช่น ริปเพิล (Ripple) และอีเธอเรียม (Ethereum) ร่วงตามลงไปด้วย โดยเฉพาะริปเพิลที่ราคาร่วงลงไปถึงร้อยละ 50 ในคืนเดียว 

นอกจากท่าทีจากฝั่งเอเชียที่ทำให้ผู้ถือบิทคอยน์ไม่มั่นใจและพากันเทขายจนทำให้ราคาบิทคอยน์ร่วงรุนแรง หลายฝ่ายยังมองว่านี่คือปรากฏการณ์ฟองสบู่แตกที่คาดกันไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นเมื่อราคาบิทคอยน์พุ่งสูงถึงจุดที่ผู้ถือบิทคอยน์รายใหญ่พอใจ และเทขายเพื่อทำกำไร รวมถึงเพื่อทำลายเสถียรภาพของสกุลเงินดิจิทัล ไม่ให้เติบโตจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างการเงินกระแสหลักของโลก

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความกังวลว่าบิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลกำลังไร้เสถียรภาพและไร้อนาคต เคย์ ฟาน ปีเตอร์เซน นักวิเคราะห์จากแซ็กโซ สถาบันการเงินและการลงทุนของเดนมาร์ก ยืนยันว่าบิทคอยน์จะทำสถิติพุ่งไปแตะ 50,000-100,000 ดอลลาร์ภายในปี 2018 เนื่องจากสถาบันการเงินรวมถึงธุรกิจต่างๆจะเริ่มยอมรับและใช้บิทคอยน์กันมากขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมายรับรองบิทคอยน์เพิ่มขึ้น โดยเขาเคยทำนายไว้ว่าบิทคอยน์ ซึ่งขณะนั้นซื้อขายในราคาประมาณ 900 ดอลลาร์ จะพุ่งไปถึง 2,000 ดอลลาร์ภายในปี 2017 และก็เป็นจริง 

ปีเตอร์เซนยืนยันว่าาแม้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บิทคอยน์จะราคาตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นธรรมดาของสกุลเงินที่จะต้องใช้เวลาสร้างฐานสักพัก ก่อนจะปรับตัวสูงขึ้น โดยที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีช่วงเวลาที่ราคาบิทคอยน์ร่วงลงอย่างหนักถึงร้อยละ 50 ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดี เนื่องจากจะทำให้รากฐานของสกุลเงินแข็งแรงขึ้น

นอกจากนี้ ปีเตอร์เซนยังคาดว่าอีเธอเรียม (Ethereum) สกุลเงินดิจิทัลที่มาหลังบิทคอยน์ จะทำผลงานได้ดีกว่าบิทคอยน์ในปีนี้ เนื่องจากอีเธอเรียมมีการควบคุมที่เข้มงวดกว่าบิทคอยน์ โดยบริษัทผู้ออกอีเธอเรียมควบคุมปริมาณและค่าเงิน ไม่ได้ปล่อยให้ตกอยู่ในมือนักขุดอย่างเสรีเหมือนบิทคอยน์ ทำให้อีเธอเรียมมีเสถียรภาพกว่าในระยะยาว และจะเห็นได้ว่าการทำธุรกรรมการเงินผ่านอีเธอเรียมก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนอาจแซงหน้าบิทคอยน์ได้ในอนาคต


Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
185Article
76559Video
0Blog