นักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษ หนึ่งในคณะต่างชาติ ที่มาร่วมช่วยเหลือทีมหมูป่าออกจากถ้ำหลวง ฟ้องศาลสหรัฐฯ ให้ดำเนินคดีกับ 'อีลอน มัสก์' ซีอีโอบริษัทเทสลาและสเปซเอ็กซ์ หลังจากที่ทวีตข้อความกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้มีรสนิยมชอบเด็ก
ลิน วูด ทนายความของ 'เวอร์นอน อันสเวิร์ธ' นักสำรวจถ้ำชาวอังกฤษ หนึ่งในชาวต่างชาติที่ร่วมปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือสมาชิกและโค้ชทีมฟุตบอล หมูป่า อะคาเดมี แม่สาย รวม 13 คน ซึ่งติดอยู่ในอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา ยื่นฟ้องต่อศาลในนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 กันยายน เพื่อดำเนินคดีกับนายอีลอน มัสก์ ประธานกรรมการผู้จัดการ หรือซีอีโอ ของบริษัทเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ซึ่งเป็นธุรกิจด้านนวัตกรรมรถยนต์และอวกาศรายใหญ่ของสหรัฐฯ
เนื้อหาในคำร้องต่อศาลสหรัฐฯ ระบุว่า มัสก์เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีอิทธิพลในสื่อสังคมออนไลน์ เห็นได้จากการที่เขามีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 22.5 ล้านบัญชี โดยมัสก์ได้กระทำการกล่าวหาอันสเวิร์ธผ่านข้อความในทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมว่า นายอันสเวิร์ธ "เป็นผู้มีรสนิยมชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก และเป็นพวกข่มขืนเด็ก"
การทวีตของนายมัสก์นั้นเกิดขึ้นหลังจากนายอันสเวิร์ธให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเรือดำน้ำขนาดเล็กที่มัสก์ประดิษฐ์เพื่อช่วยเหลือทีมหมูป่านั้นไม่มีทางที่จะสามารถใช้งานได้จริง และเป็นเพียงการประชาสัมพันธ์เอาหน้าเท่านั้น ซึ่งแม้ว่านายมัสก์จะกล่าวขอโทษอันสเวิร์ธในการทวีตข้อความครั้งแรก แต่เขาได้ทวีตข้อความโจมตีอันสเวิร์ธอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าถ้าหากข้อกล่าวหาเรื่อง 'รสนิยมชอบเด็ก' ไม่เป็นความจริง ก็น่าแปลกที่นายอันสเวิร์ธไม่ฟ้องเขาเสียที
นายมัสก์ยังเคยให้สัมภาษณ์ทางอีเมลกับผู้สื่อข่าวของเว็บไซต์ Buzzfeed ด้วยว่า พวกเขาควรจะไปถามคนรู้จักในประเทศไทย เพื่อค้นหาว่าความจริงคืออะไร และจงหยุดแก้ตัวให้กับพวกที่ชอบข่มขืนเด็กเสียที โดยนายมัสก์ยังกล่าวต่อด้วยว่า นายอันสเวิร์ธเป็นแค่ชายแก่ผิวขาวจากอังกฤษที่ยังโสด ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินทางและอาศัยอยู่ในไทยนานกว่า 30-40 ปี พร้อมกล่าวว่าส่วนใหญ่แล้วนายอันสเวิร์ธก็ใช้เวลาอยู่ตามชายหาดพัทยา จนในที่สุดก็ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดเชียงราย เพื่อแต่งงานกับเจ้าสาววัยเด็กที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น
ทนายความของอันสเวิร์ธให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ABC โดยระบุว่า จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายจากมัสก์เป็นเงินกว่า 75,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท เพื่อแสดงให้เห็นว่าความมั่งคั่งร่ำรวยของมัสก์ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนคำโกหกให้เป็นความจริงได้ และมัสก์จะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเพื่อรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้พูดไป
ทั้งนี้ สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ผู้หญิงที่อันสเวิร์ธคบหาและพำนักร่วมกันในประเทศไทย มีอายุ 40 ปี และอันสเวิร์ธเพิ่งเดินทางมายังไทยเมื่อปี 2554 ข้อกล่าวหาร้ายแรงและไม่มีมูลความจริงของมัสก์จึงเป็นการสร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของอันสเวิร์ธโดยปราศจากความจริงและความชอบธรรม
ในช่วงแรกที่นายมัสก์กล่าวหาอันสเวิร์ธผ่านทวิตเตอร์ครั้งแรก คณะกรรมการบริหารของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ได้ออกมาตำหนิมัสก์ พร้อมระบุว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท และมัสก์ควรพิจารณาตัวเองว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ส่งผลให้มัสก์กล่าวขอโทษอันสเวิร์ธในทวิตเตอร์ แต่เขาก็เผยแพร่ข้อความโจมตีอันสเวิร์ธอีกครั้งในเดือนสิงหาคม
เว็บไซต์ ABC ระบุว่า ขณะนี้ทางผู้บริหารของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเทสลายังไม่ออกมาให้ความเห็นกับกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด และเมื่อมีการติดต่อไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องจากบริษัทเทคโนโลยีด้านอวกาศอย่างสเปซเอ็กซ์ก็ยังไม่มีการออกมาให้สัมภาษณ์เช่นเดียวกัน
ด้านสำนักข่าว CNBC รายงานว่า ก่อนหน้านี้เพียง 1 สัปดาห์นายมัสก์ยังตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสื่อสังคมออนไลน์สหรัฐฯ เนื่องจากเขาสูบบุหรี่ผสมกัญชาและจิบวิสกี้ในระหว่างให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการพอดแคสต์ The Joe Rogan Experience เมื่อวันที่ 7 กันยายน ซึ่งคณะกรรมการบริหารเทสลาระบุว่า จะพิจารณาไต่สวนมัสก์ เพราะการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายผิดจรรยาบรรณทางธุรกิจของบริษัทเทสลา แต่มัสก์ยืนยันว่าการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการเป็นเรื่องถูกกฎหมายในมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถานที่อัดรายการดังกล่าว จึงไม่ถือว่าเป็นความผิดแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์จำนวนไม่น้อยมองว่ามัสก์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบริษัทที่เขาดำรงตำแหน่งซีอีโออยู่ไม่น้อย เห็นได้จากการที่หุ้นของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ในตลาดหลักทรัพย์ร่วงลงจากเดิมทันทีที่มีข่าวอื้อฉาวของมัสก์เผยแพร่ออกมา
อีกหนึ่งความน่ากังวลใจที่ทั้งนายมัสก์เองและผู้บริหารของบริษัทเทสลากำลังเผชิญอยู่ก็คือ กระบวนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าซีดาน Tesla Model 3 ที่มีราคาคันละ 35,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.13 ล้านบาท โดยในขณะนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในกระบวนการผลิตจะพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถผลิตรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้ตามเป้าที่ 5,000 คันต่อสัปดาห์ แต่ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นนั่นคือเรื่องของกระบวนการขนส่งนั่นเอง
ล่าสุด มีลูกค้าของบริษัทเทสลาในซอลต์เลกซิตีของสหรัฐฯ ทวีตถามนายมัสก์ว่าเมื่อไรรถยนต์ Tesla Model 3 ของเธอจะถูกส่งมาเสียที เพราะตอนนี้รถของเธอกับรถรุ่นเดียวกันที่เหลืออีก 41 คัน ยังคงจอดรอการจัดส่งอยู่ที่คลังสินค้าและไม่มีกำหนดนำส่งเสียที ซึ่งนายมัสก์ได้ทวีตกลับว่า "ต้องขอโทษด้วย ตอนแรกเรามีปัญหาด้านการผลิต ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเป็นวิกฤติด้านการจัดส่งแทน" (Sorry, we’ve gone from production hell to delivery logistics hell.)