การศึกษาของยูเนสโกระบุว่า ผู้ช่วยคำสั่งเสียงที่ถูกตั้งค่าให้เป็นผู้หญิงเป็นหลัก เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงอคติทางเพศสภาพ ซึ่งเป็นมุมมองที่บั่นทอนสังคมอย่างยิ่ง
การศึกษาล่าสุดโดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ชี้ว่า ผู้ช่วยคำสั่งเสียงที่มีระบบประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ มักมีการตั้งค่าเริ่มต้นเป็นเสียงผู้หญิง และการที่เอไอเป็นผู้หญิงมาโดยตลอดนั้น ทำให้เกิดอคติทางเพศที่ล้าสมัยต่อความเป็นเพศหญิงได้ โดยยกตัวอย่างกรณีที่ 'สิริ' (Siri) ได้รับคำสั่งที่หวือหวาหรือเป็นไปในเรื่องทางเพศ ซึ่งโปรแกรมก็ต้องให้คำตอบตามที่ถูกถาม
รายงานฉบับนี้มีชื่อว่า I’d blush if I could หรือ 'ถ้าเป็นไปได้ ฉันคงหน้าแดง' ซึ่งมุ่งเน้นศึกษาด้านผลกระทบของอคติในการวิจัยเอไอ , การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงผลพลอยได้เชิงลบที่สังคมจะได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นเด็ก ว่าในที่สุดแล้ว ผู้ใช้งานจะปฏิบัติต่อผู้ช่วยเสียงเหล่านี้เหมือนเป็นคนรับใช้ที่ต้องทำตามความต้องการอย่างไม่มีเงื่อนไขหรือไม่
การศึกษาระบุว่า การที่บริษัทเทคโนโลยีตั้งชื่อผู้ช่วยเสียงเป็นชื่อผู้หญิง เช่น อเล็กซา (Alexa) และสิริ (Siri) ทั้งยังตั้งค่าเริ่มต้นให้เป็นเสียงผู้หญิง แสดงให้เห็นว่าผู้พัฒนาระบบได้ส่งต่อมุมมองต่อผู้หญิงที่ล้าสมัยและเป็นอันตรายให้กับผู้บริโภคแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ช่วยเสียงเหล่านี้ยังถูกตั้งโปรแกรมให้พูดจาสองแง่สองง่ามได้อีกด้วย
ซึ่งรายงานนี้ได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะทีมผู้พัฒนาส่วนใหญ่เป็นวิศวกรชาย ที่ต้องการสร้างระบบรองรับอารมณ์ที่ยอมทำตามในทุกกรณีโดยไม่แสดงอารมณ์ แม้ผู้ออกคำสั่งจะเกรี้ยวกราดเท่าใดก็ตาม