รายการ Talking Thailand ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2563
“อ.พิชญ์” ย้อนคำตอบ “รองนายกฯ ประวิตร” ใช้ตรรกะแปลก ๆ คือ ดูก่อนว่าเป็นใครเกี่ยวข้อง ก่อนตั้งข้อกล่าวหา ทั้งที่ควรตั้งหลัก คือการยิงเลเซอร์ผิดกฎหมายหรือไม่ สอดคล้องกับตำรวจ ก็ชี้ชัดขอดูข้อกฎหมายก่อนตั้งข้อหา “คณะก้าวหน้า” ทั้งที่การยิงเลเซอร์ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน...เอ๊ะ! หรือว่ามีน๊า
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตรวจสอบกรณี "คณะก้าวหน้า" ที่ยอมรับเป็นผู้ดำเนินการยิงเลเซอร์ตามสถานที่เชิงสัญลักษณ์ในโอกาสครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ พ.ศ. 2553 ว่า ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง และต้องดูว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายในการสร้างสถานการณ์หรือไม่ และไม่ทราบว่าการกระทำดังกล่าวจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อเนื่องอื่นๆ อีกหรือไม่ โดยย้ำว่า ได้ดูแลสถานการณ์ความมั่นคงมาตลอด แต่เบื้องต้นยังตอบไม่ได้ว่ากรณีนี้ผิดหรือไม่ ต้องดูที่กฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายดำเนินการ ส่วนมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดในต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ไม่ทราบ และไม่รู้ว่าจะมีการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์พฤษภาคมอีกหรือไม่
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน เห็นว่า หากมองด้วยความคิดที่ปกติปราศจากอคติใดๆ ก็จะเห็นว่า เป็นเรื่องของการแสดงออกทางความคิดเห็น คล้ายกับการแสดงนิทรรศการหรือการสื่อความหมายสะท้อนเรื่องราวต่างๆ อันเป็นเสรีภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
คำว่า “ตามหาความจริง” ก็เป็นคำที่มีความหมายธรรมดาตามตัวอักษร แต่มีคุณค่าและความสมบูรณ์อยู่ในตัว ความจริงจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ใครๆก็ได้ที่จะแสวงหาความจริง เพราะความจริงเป็นธรรมชาติที่ถือเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและต้องยอมรับกัน ข้อความที่ปรากฏนี้จึงไม่น่าจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ในทางตรงกันข้าม หากมีการปิดบังความจริง หรือมีกระบวนการบิดเบือนความจริง เช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรต้องถูกประณาม และประชาชนก็มีสิทธิในการแสดงออกหรือต่อต้านได้ตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว เพราะถือเป็นเสรีภาพในการแสดงออกอย่างหนึ่งที่ต้องไม่ถูกจำกัดจากการกระทำใดๆ เพียงแค่การใช้แสงเลเซอร์ยิงบนผนังเป็นข้อความและสื่อความหมายธรรมดาๆ ที่ไม่ได้กระทบต่อความมั่นคงของรัฐจนต้องออกมาแสดงอาการร้อนตัวร้อนใจเร็วไปหรือไม่