เวทีประกาศรางวัลวงการดนตรีครั้งใหญ่แห่งปีอย่างแกรมมีอวอร์ดส 2018 เพิ่มยอดสมาชิกการชมคอนเทนต์แบบสตรีมมิงให้กับสถานีโทรทัศน์ CBS อย่างถล่มทลายเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นบทพิสูจน์สำคัญของการขยายช่องทางการเข้าถึงคนดูในยุคปัจจุบันผ่านออนไลน์แพลตฟอร์ม

งานประกาศรางวัลวงการดนตรีครั้งใหญ่แห่งปีอีกเวทีหนึ่งอย่างแกรมมีอวอร์ดส 2018 เป็นเวทีที่ประสบความสำเร็จอย่างยาวนานและเพิ่งจะฉลองการครบรอบปีที่ 60 ในปีนี้ไป ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของทางสถานีโทรทัศน์ช่อง CBS ของสหรัฐฯอีกด้วยที่ปีนี้ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดผ่านรูปแบบสตรีมมิ่ง หรือการถ่ายทอดสดออนไลน์แบบเก็บค่าสมาชิกรายเดือน ส่งผลให้มีจำนวนผู้ชมที่เป็นฐานคนดูหลักของเวทีการประกาศรางวัลสมัครสมาชิกเข้ามาด้วยจำนวนสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในช่องทางออนไลน์ของทางสถานี

ความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนสมาชิกรายเดือนของทาง CBS เพื่อรับชมวิดีโอออนไลน์แบบสตรีมมิงนี้เป็นสถิติที่น่าสนใจมาก เพราะกลุ่มลูกค้าที่สมัครเข้ามาใหม่คือผู้ที่ต้องการเข้าชมงานประกาศรางวัลแบบสดๆเกือบทั้งหมด ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์รองจากแค่วันแรกของการเปิดให้บริการสตรีมมิงของช่อง CBS เพื่อรับชมซีรีย์ชื่อดังอย่าง Star Trek: Discovery เท่านั้น

อย่างไรก็ตามทาง CBS ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขของจำนวนสมาชิกรายเดือนใหม่แต่อย่างใด มีการเปิดเผยเพียงแค่ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ชมพิเศษกลุ่มนี้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 40% นับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของการบุกตลาดดิจิทัลแพลทฟอร์มของสถานีโทรทัศน์อเมริกัน

ด้านนีลสัน หนึ่งในบริษัทสำรวจเรตติงโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกรายงานว่า งานประกาศรางวัลแกรมมีอวอร์ดส ครั้งที่ 60 ครองอันดับงานประกาศรางวัลที่มีการเผยแพร่ผ่านทางโทรทัศน์ที่ได้รับความสนใจจากกระแสสังคมมากที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากนักเนื่องจากว่าขณะนี้ยังอยู่แค่เดือนแรกของปี ยังมีช่วงเวลาที่เวทีอื่นๆจะสามารถสร้างกระแสทางสังคมได้เช่นกัน

ก่อนความสำเร็จครั้งนี้ที่เป็นผลพลอยได้เต็มๆจากเวทีแกรมมีอวอร์ดส 2018CBS All Access ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ TechCrunch ว่าปัจจุบันตัวเลขของสมาชิกที่จ่ายค่าบริการรายเดือนอยู่ราว 2 ล้านคน และเมื่อนับรวมกับบริการของอีกค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Showtimeที่มีการให้บริการคู่กันเป็นแพ็คเกจเดียว ทั้ว 2 บริษัทก็สามารถรวมฐานลูกค้าได้ในปี 2017 ทั้งปีมากถึง 4 ล้านคน และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจำนวนสมาชิกจะเพิ่มเป็น 8 ล้านคนภายในปี 2020

ด้านผู้นำทางด้านการให้บริการ Streaming อย่างเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งสมาชิกเน็ตฟลิกซ์ในปี 2017 พุ่งสูงขึ้นถึง 117 ล้านบัญชีแล้ว โดยนอกจากการให้บริการเสริร์ฟซีรีย์และภาพยนตร์ที่หลายหลายให้กับผู้ชมทั่วโลกแล้ว จุดแข็งของเน็ตฟลิกซ์อีกอย่างหนึ่งก็คือ การผลิตคอนเทนต์เอง โดยปี 2010 เริ่มลงทุนผลิตคอนเทนต์เอง โดยเริ่มจากซีรีส์เรื่อง House of Cards ซึ่งฉายจริงครั้งแรกในปี 2013 หลังจาก House of Cards ประสบความสำเร็จ เน็ตฟลิกซ์ก็มีคอนเทนต์เป็นของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง Orange Is The New Black , The Crown รวมถึง Stranger Things

การผลิตคอนเทนต์เองทำให้ไตรมาสสุดท้ายของปี 2017 เน็ตฟลิกซ์ได้สมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นถึง 8.3 ล้านบัญชี โดย 6.36 ล้านบัญชีเป็นผู้ใช้ที่อยู่นอกสหรัฐฯ ซึ่งจำนวนมากสมัครสมาชิกเพื่อดูซีรีส์เรื่อง The Crown ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น 186 ล้านดอลลาร์ มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2016 ถึง 3 เท่า แม้การเติบโตของเน็ตฟลิกซ์จะชะงักไปช่วงเดือนตุลาคมที่มีการขึ้นค่าสมาชิกในอังกฤษและสหรัฐฯ

ผลประกอบการที่ดีมากนี้ทำให้เน็ตฟลิกซ์ยิ่งมั่นใจกับการลงทุนมากขึ้น โดยปีนี้เน็ตฟลิกซ์วางแผนว่าจะลงทุนกับการคัดสรรคอนเทนต์ประมาณ 8,000 ล้านดอลลาร์ โดยมากกว่า 1 ใน 4 ของเงินลงทุนจะไปทุ่มให้กับการผลิดคอนเทนต์ของตัวเอง และตั้งเป้าว่า คอนเทนต์ใหม่ๆ จะช่วยดึงดูดสมาชิกใหม่ในต่างประเทศได้มากขึ้น เช่นการผลิตคอนเทนต์ในฝรั่งเศส โปแลนด์ อินเดีย เกาหลีและญี่ปุ่น