สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตัวเลขมูลค่าหุ้นกู้ของบริษัททั่วโลกมีการซื้อขายกันสูงถึง 2.43 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 72 ล้านล้านบาท มากกว่าตัวเลขของปีที่แล้วทั้งปีรวมกัน ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกรีบหาทางกำจัดหนี้เหล่านี้เพื่อหวังกำไรคืน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ และหลายประเทศเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจโลกที่ซบเซากำลังจะกลับมาดีขึ้นซึ่งทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งหมดข้ออ้างในการคงดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนยากที่จะทำกำไรได้ในระดับเดียวกับปีนี้เพราะยังมีการช่วยเหลือด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารกลาง
‘เคร็ก แมคโดนัล’ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้โลกของอเบอร์ดีน สแตนดาร์ด อินเวสต์เมนต์ กล่าวว่า การตีราคา (หุ้นกู้) ค่อนข้างทำได้ยากขึ้น ซึ่งหมายความว่ามีช่องให้คาดการณ์ผิดได้น้อยลง ซึ่งอาจทำให้เกิดการชะลอตัวของกำไรถ้าบริษัททำเครดิตได้ไม่ดี แตกต่างจากภาวะในปีนี้
นอกจากนี้ปัจจัยบั่นทอนอื่นๆ ยังมาจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่แม้จะเริ่มมีการเจรจาที่คืบหน้ามากขึ้น แต่ประเด็นทางการเมืองก็ยังสร้างความไม่แน่นอน เช่นเดียวกับปัญหาความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ของเกาหลีเหนือที่พร้อมทดลองขีปนาวุธเพิ่มขึ้น
ความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้มีแนวโน้มสร้างผลกระทบให้กับบริษัทที่มีความอ่อนแอจากการมีหนี้สูงมากที่สุด ซึ่งบริษัทในสภาวะหนี้สูงเหล่านี้มีมากขึ้นในปัจจุบัน ตัวเลขการออกพันธบัตรในทวีปเอเชียกับยุโรปในปีนี้สูงกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก ขณะที่ของฝั่งสหรัฐฯ เองก็ยังคงสูงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน