ไม่พบผลการค้นหา
'Bohemian Rhapsody' ของวง Queen ขึ้นมาเป็นเพลงศตวรรษที่ 20 ที่มีการสตรีมเพลงมากที่สุด หลังภาพยนตร์ชีวประวัติในชื่อเดียวกันฉายได้ 5 สัปดาห์

บริษัทเพลงยักษ์ใหญ่ยูนิเวอร์ซัล มิวสิก กรุ๊ปประกาศว่า เพลง Bohemian Rhapsody ของวง Queen ได้ขึ้นมาเป็นเพลงจากศตวรรษที่ 20 ที่มีคนฟังผ่านการสตรีมมิงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีคนฟังและดูมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ผ่านสตรีมมิงมากกว่า 1,600 ล้านครั้งแล้ว โดยนับจาก Spotify, Apple Music, Deezer และ YouTube

ไบรอัน เมย์ มือกีตาร์วง Queen กล่าวถึงกรณีที่ Bohemian Rhapsody ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของเพลงในศตวรรษที่ 20 ที่ถูกสตรีีมมากที่สุดว่า "แม่น้ำแห่งดนตรีร็อกได้เปลี่ยนรูปไปสู่สตรีมแล้ว มีความสุขมากที่ดนตรีของเรายังคงหลั่งไหล (ไปสู่คนฟัง) อย่างเต็มที่" (เป็นการเล่นคำ stream ที่แปลว่าได้ทั้ง 'ลำธาร' และ 'สตรีม' เพลง/วิดีโอ)

ที่ผ่านมา เพลง Bohemian Rhapsody เป็นเพลงความยาว 6 นาทีที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเพลงคลาสสิกร็อกที่โดดเด่นที่สุดเพลงหนึ่ง และเป็นหนึ่งในเพลงที่ดังที่สุดของวง Queen แต่ปีนี้คนกลับมาฟังเพลงนี้ และเพลงอื่นๆ ของ Queen มากขึ้น หลังภาพยนตร์ Bohemian Rhapsody ภาพยนตร์ชีวประวัติของเฟรดดี เมอร์คิวรีฉายเมื่อต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

หลังฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ไปได้ 5 สัปดาห์ Bohemian Rhapsody ได้กลายเป็นภาพยนตร์เพลงชีวประวัติที่มีรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ มากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 20,000 ล้านบาท) และบริษัทยูนิเวอร์ซัล มิวสิก กรุ๊ปก็พยายามโปรโมต ให้เด็กรุ่นใหม่รู้จักวง Queen กันมากขึ้น

Bohemian Rhapsody ยังเป็นเพลงคลาสสิกร็อกที่มีคนฟังผ่านสตรีมมิงมากที่สุดอีกด้วย แซงหน้าเพลง Smells Like Teen Spirit ของ Nirvana, เพลง Sweet Child O'Mine ของ Guns N' Roses และเพลง Take On Me ของ A-ha

เพลง Bohemian Rhapsody ยังมีความสำคัญกับวัฒนธรรมป๊อปอย่างมาก เพราะได้รับการยกย่องให้เป็นเพลงแรกที่ใช้มิวสิกวิดีโอในการโปรโมตเพลง ปฏิวัติวงการเพลงให้ไม่เพียงแต่ขายเพลงเท่านั้น แต่ยังขายความสร้างสรรค์บนเอ็มวีอีกด้วย ถือเป็นเพลงที่ให้กำเนิดยุค MTV

Queen ปล่อยเพลง Bohemian Rhapsody ออกมาในปี 1975 ค่ายเพลงและนักวิจารณ์เพลงต่างตั้งคำถามว่าเพลงนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะเป็นเพลงที่มีท่อนโอเปรา และเนื้อเพลงที่เข้าใจยาก แต่เพลงนี้กลับติดอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงสหรัฐฯ และขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงของอังกฤษนานติดต่อกันถึง 9 สัปดาห์

ที่มา : NBC News, Matheus Siqueira

อ่านเพิ่มเติม: