ไม่พบผลการค้นหา
กล่าวโดยย่อ ศิลปินวัย 50 ปี จากยุค 90s เจ้าของเสียงทุ้มห้าวและรอยสักหัวสิงโตที่ไหล่ขวา ผ่านชีวิตคิดฆ่าตัวตายตั้งแต่วัยรุ่น สับสนทางเพศ...

ติดเหล้า หย่าร้าง-ลูกสาวขอแยกทางในวัยกลางคน ซึมเศร้า ถูกประณามเพราะเคยเข้ากับฝ่ายล้มประชาธิปไตย ก่อนหันมาสนับคนหนุ่มสาวยืดแขนชูสามนิ้ว ฯลฯ มวลอารมณ์ทึมเทาราวหอกดาบทิ่มแทงเข้ามาทุกทิศทาง บาดแผลสาหัสอยู่ภายใน เรียกได้ว่าครบหลักสูตร Midlife Crisis 

เมื่อทบทวนภาวะข้างในและคลี่คลายแล้ว วันนี้เธอตกผลึกอะไร

'วอยซ์' ชวนพักทุกคำพิพากษา สบตา สัมผัสแผลเป็นและรอยยิ้มของ 'สุกัญญา มิเกล' บทสัมภาษณ์ต่อไปนี้เป็นภาคขยาย อธิบายทุกมิติ…


ศิลปิน, อารมณ์จากวัยเด็ก 

มิเกลเกิดปี 1972 เติบโตขึ้นจากสนามเด็กเล่นลานดิน ไม่มีฟูกนุ่ม ไม่มีอาภรณ์ผ้าไหมให้คลายหนาว พอเริ่มสาวสะพรั่งเธอเข้ากรุงเทพฯ แจ้งเกิดในวงการบันเทิงทั้งด้วยศักยภาพเนื้อเสียง เรือนร่าง และความสามารถในการแสดง

ผ่านวันคืนมาจนวัยกลางคน มิเกลใช้ชีวิตในร้านเหล้ามากกว่าร้านเสริมสวย รอยสักหัวสิงโตเต็มหัวไหล่ขวาคือตราประทับที่ไม่ปรากฏในกระแสแฟชั่นสำหรับศิลปินสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ไหนจะภาพสูบบุหรี่บนปกเทปที่ยิ่งยืนยันเสียงข้างน้อยของวงการเพลงยุคนั้น

แต่มิเกลวันนี้ไม่ใช่สาวเซ็กซ์ แอพพีล แบบภาพจำราวสามทศวรรษก่อน ใบหน้า-รอยยิ้มเปล่งปลั่งกว่าภาพจำที่เต็มไปด้วยแววตาหม่นเศร้า

“อีคนนั้น เราแดกมันเขาไปแล้ว” มิเกลพูดพลางหัวเราะ เหมือนรู้ทันข้อสงสัย

แต่ก็อีกนั่นแหละ ประเด็นต่อไปนี้ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างของเธอ…

สุกัญญา มิเกล_Voice_Logo_002.jpg

2-3 ปีที่ผ่านมา นักดนตรีเจอโควิดเบรกกันเยอะ ไม่มีผับเล่น หลายคนตกงาน ส่วนตัวคุณเป็นยังไงบ้าง

เราเล่นดนตรีในผับมาตั้งแต่อายุ 19 ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงอยู่ในวงการบันเทิงขนาดไหน เราจะเล่นกลางคืนที่ผับอาทิตย์ละอย่างน้อย 1 วัน พอมีสถานการณ์โควิด เจอล็อคดาวน์ เราไม่ได้เล่นเลย ปัญหาคือเราอยู่ไม่ได้ เป็นคนขาดเรื่องนี้ไม่ได้เลย ถึงขั้นเสี้ยน เอาแค่ไม่ได้เล่นประมาณ 2-3 อาทิตย์ จะเริ่มมีอาการเหมือนซึมเศร้ากลับมา เพราะเราเป็นอยู่แล้ว มันจะมาแบบเหมือนคนป่วย หมดแรง ไม่สดใส 

พอดีจอม (แฟน) เขามีแอคเคาท์ติ๊กต๊อกอยู่ เขาเลยบอกว่าเปิดเองร้องเองมั้ย พอทำดูก็มีความสุขดี เราตั้งชื่อว่าผับทิพย์ ตำรวจจับกูไม่ได้ ไม่มีวันที่ร้องแล้วจะมาไล่ลงจากเวที อยากดื่ม ดื่มได้เองที่บ้าน บางทีมีคนบอกว่าทำไมพี่ไม่ร้องเพลงนั้นเพลงนี้ ก็บอกนี่ช่องกู ไม่อยากดูก็ไป มันกลายเป็นโลกดนตรีของเราจริงๆ


อารมณ์เวลาโชว์บนเวทีหายไปมั้ย อย่างในเอ็มวีเพลงดีดีกันไว้ (1995) ตอนโชว์คุณดูปลดปล่อยมากๆ 

แต่ไหนแต่ไรมา ต้นสังกัดไม่เคยจัดคอนเสิร์ตให้เรา มีแต่ร้านเหล้าจ้างไปเล่น เราก็ครีเอทเองว่าเราจะเล่นเพลงอะไร ในเอ็มวีที่ได้ดู–วันนั้นเราตัดผมสกินเฮด บริษัทไม่รู้เรื่อง สมัยก่อนเวลาทำอัลบั้มมันจะวางแผนกันเป็นเทอม หน้าปกแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ ต้องเป็นคอนเซ็ปต์ไปจนกว่าจะจบพีเรียด แต่ของเราอัลบั้มเดียวผม 3 ทรง ตอนแรกผมยาวฟูเป็นสิงโต ยังไม่ทันถ่ายปกเทปตัดบ๊อบ ปกออกไปได้ไม่นาน โกนหัวเลย ผู้บริหารบริษัทเขาก็ขอดู มันจะเป็นยังไงวะ เราโผล่หน้าไปให้ดู แม่ชีไปเลย เขาบอกว่าช่วงนี้มิเกลมีงานอะไร เราบอกว่ามีงานจ้างอยู่ที่ฮอลลิวูด เพลส เขาก็เลยเอากล้องไปตามเก็บภาพเหล่านั้นมาทำเอ็มวี 


ตามใจตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้น ?

เวลาผมหยิก สมัยก่อนมีคนบอกว่าสวยจังเลย เซ็กซี่จัง เราเบื่อคำว่าเซ็กซี่ เริ่มมีคำถามในปีนั้นว่าผู้หญิงถ้ามันไม่มีความสวยเลย เขาจะอยากคุยกับผู้หญิงมั้ยวะ เขาจะเห็นผู้หญิงเป็นมนุษย์คนนึงโดยไม่ต้องมองนม ไม่มีนมให้มอง ไม่มีความสวย จะอยากคุยมั้ย อยากรู้มั้ยว่าอะไรอยู่ข้างในบ้าง วิธีคิดเราเป็นแบบนั้น 


เกิดอะไรขึ้น

เราโดนเบี่ยงทางจิตมาตั้งแต่อายุ 12 เรารู้สึกว่าเป็น แต่ถูกเบี่ยงว่าไม่เป็น ยายเป็นคนบอกว่ามันผิดนะลูก เรารักยายมาก จะเชื่อฟังยายจนกระทั่งใช้ชีวิตในความเป็นผู้หญิงจนสุด ประมาณปี 2015 เริ่มรู้สึกว่ากูพอแล้ว ขอชีวิตกูคืน บอกยายขอคืนนะ

ตั้งแต่เด็ก เราเห็นความไม่เท่าเทียมระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายเยอะมาก ลูกหลานผู้ชายจะได้รับการพินอบพิเทา ได้รับการยกเว้น เช่น ซักกางเกงใน เสื้อผ้า กวาดเช็ดถู เรารู้สึกว่าทำไมเราเป็นผู้หญิงกูต้องทำแม่งทุกอย่าง ทำไมเด็กผู้ชายไม่ต้องทำ เราเคยตั้งคำถามกับยาย ของมันก็ให้มันทำเองสิ แกบอกว่าเราเกิดเป็นผู้หญิง เดี๋ยวเราก็ต้องเป็นเมีย เป็นแม่ ต้องฝึกทำตั้งแต่ตอนนี้ล่ะลูก เลยเริ่มรู้สึกแบบทำไมล่ะ ก็กูไม่ได้ใส่กางเกงในมัน ถุงเท้ามันกูก็ไม่ได้ใส่ ทำไมกูต้องมาคอยซักให้วะ เขาให้คุณค่ากับความเป็นผู้ชายใหญ่กว่าผู้หญิงมั้ย แต่เราไม่ชอบอะไรที่ไม่แฟร์ แม่งไม่เวิร์ค เขาได้กินแต่เราไม่ได้กิน หรือเราได้กินเขาไม่ได้กินก็ไม่แฟร์ 

แต่เราเป็นคนเคารพตายาย เพราะเขาเลี้ยงเรามาอย่างกับลูก ถ้าไม่มีเขาเราตาย ดังนั้นสิ่งที่เขาสอนกันมาว่าบุญคุณต้องสำนึกและชดใช้ ไม่ว่าเขาสั่งสอนอะไรเราก็เชื่อฟัง เราเป็นเด็กดีคนนึงนะ ถึงต่อให้ปากอย่างนี้ก็เถอะ (หัวเราะ)


ปากแบบไหน

เป็นคนพูดตรง คนในวงการบันเทิงไทยก็ไม่ชอบเราอยู่แล้ว แถมผู้บริโภคที่เป็นคนคอนเซอร์เวทีฟสูงจัดเขาก็ไม่ชอบ จะมีแต่แฟนคลับเราที่เป็นหัวก้าวหน้ามากกว่า แต่เราก็ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับมัน แค่ชีวิตฉัน มีแค่ครอบครัวฉัน คิดแค่นี้

กระทั่งพอมันเกิดความความไม่แฟร์ในครอบครัวตัวเอง (หลังแต่งงาน) ถ้าเป็นครอบครัวเดิมที่เลี้ยงดูเรามา เราอาจจะต่อต้านไม่ได้ อยู่ในสภาพจำยอม แต่พอมาเป็นครอบครัวตัวเองมันเกิดคำถาม ทำไมเราต้องจำยอม พอไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ก็ต้องทางที่ดีที่สุดคือแยก 

เราพยายามแล้วที่จะเป็นผู้หญิงแบบที่ยายบอกว่าต้องเป็น แต่มันไม่น่าจะใช่ความสุข จนค้นหาตัวเองให้ชัดเจน 1 ปีก่อนจะยอมรับกับตัวเองว่าใช่ คุณฝืนไม่ได้หรอกธรรมชาติคุณ หลังจากนั้นก็เราไปบำบัดจิต เราเรียนรู้ข้างในใหม่ เรียนรู้วิธีคิดต่อตัวเองใหม่ เริ่มเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น 


ทำอะไรบ้างตอนบำบัด

มีนักบําบัดจิตเขาเรียนมาจากอเมริกา เขากำลังจะมาทำเคสที่เมืองไทย แต่เขายังไม่เคยบำบัดผู้ใหญ่ เคยบำบัดแต่เด็ก เขาอยากลองเคสที่ยากๆ เพื่อนเราเห็นว่าเราอยู่ในสภาวะที่กำลังแย่ คือเป็นโรคซึมเศร้าที่ไม่รู้ตัว เราเห็นเขาสนุกกัน เราตั้งคำถาม นั่งมองว่าทำไมชีวิตกูไม่มีความสุขวะ แต่ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบยังไง

พอไป เขาบอกเราเป็นเคสที่หนัก เพราะว่าคนอายุมากๆ จะมีกำแพงหลายชั้นเพื่อปกป้องสิ่งที่เป็นตัวเองอยู่ข้างใน เรามักจะย้อนไปเจอจุดที่เรามีปัญหาแล้วจิตเราก็บล็อกตัวเอง เขาก็พยายามไปเคลียร์ตรงนั้น เรามีด้วยกัน 2 จุด จุดแรกถูกล่วงละเมิดทางเพศ กับอีกจุดคือเรื่องแม่

วิธีคือเขาใช้เสียงพาเราเข้าสู่ภวังค์แล้วก็คอยถามว่าเห็นทุ่งหญ้ามั้ย มีลมพัดเย็นๆ มั้ย ทีนี้จิตเราจะเริ่มทำกระบวนการ เราเห็นบ้านหลังสีขาว ลองเข้าไปเห็นผู้ชายคนนั้น เห็นบันไดทางขึ้น มองไปรอบห้องเห็นเด็กผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่ ผมหยิก มันคือเรานั่นเอง เขาก็บอกให้เราคุยกับเด็ก ให้ยอมรับเด็กคนนั้น เป็นกระบวนการให้เรารักตัวเอง 

เวลาที่คนเราบล็อกตัวเองหรือขังตัวเองไว้ในจิตใต้สำนึก เราจะสร้างสิ่งใหม่มากลบจนกลายมาเป็นบุคลิก เราจะกลายเป็นคนที่ปกป้องสิ่งที่อ่อนแอที่สุดด้วยการแสดงออกถึงความแข็งแรงที่สุด แต่พอเรายอมรับตัวเองได้ก็เหมือนเอากำแพงออก รู้สึกรักกับสิ่งที่เป็น เวลารู้สึกอ้างว้างมากๆ เหมือนไม่มีที่พึ่ง เราจะกลับไปนึกถึงเด็กคนนั้น แล้วก็กอดเขา มันรู้สึกอุ่นข้างใน ต่างจากเมื่อก่อนที่เราบล็อกเขาไว้ มันเลยมีแต่ความโกรธ ความเศร้าเสียใจตลอดเวลา 


เลือกคัดความทรงจำแย่ๆ ออกได้มั้ย

cannot ไม่มีอะไรคัดทิ้งได้ มันมีแต่ถูกเติมลงมา ช่วยไม่ได้ที่เราไม่รู้จะตอบคุณยังไง เวลาที่มนุษย์เราเติบโตขึ้นมาแล้วถูกแต้มบางสิ่งบางอย่างไว้ เราอยากจะคัดมันทิ้งมาก เราพยายามแล้วที่จะไม่ดึงมันกลับมา อยากจะเปลี่ยนเวลาด้วยซ้ำ แต่นั่งคิดว่าจะไปเปลี่ยนตรงไหน ถ้าเราจะไปเปลี่ยน เราคงต้องไปบอกคนนั้น มึงอย่าล่วงละเมิดทางเพศกู ได้มั้ยล่ะ กูจะได้ไม่ต้องเป็นคนแบบนี้ มึงทำได้เปล่าล่ะ บางทีชีวิตเราไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่เขาแต้มไว้แล้วเราขัดขืนไม่ได้ ใครที่โลกสวยบอกเฮ้ย มันเป็นเรื่องนอกกาย มันไม่มาทำลายชีวิต ไม่จริง อยากบอกให้รู้ว่าต้องไปถามคนทำ มึงเลิกแต้มสีหม่นๆ ให้ชาวบ้านได้มั้ย จะได้ไม่ต้องเกิดคนหม่นๆ แบบนี้ จะได้ใสๆ

สุกัญญา มิเกล_Voice_Logo_035.jpg


พ่อ, และคำถาม “กูเกิดมาทำไม”

มิเกลเป็นเด็กโตมากับตายาย ส่วนพ่อของเธอเป็นอดีตทหารอเมริกัน เข้ามาไทยสมัยทำสงครามเวียดนาม เขามีหน้าที่ลำเลียงลูกระเบิดใส่เครื่อง B 52 เมื่อกองทัพอเมริกาล้มเลิกสงคราม พ่อของเขาก็กลับไปพร้อมกองทัพ ไม่ทันเห็นหน้าลูกสาวที่เพิ่งเกิดในปี 1972 

อีก 5 ทศวรรษต่อมา โลกโซเซียลทำให้มิเกลพบพ่อของเธอ แม้ยังไม่ได้เห็นหน้าค่าตา-สัมผัสกันตัวเป็นๆ แต่สำหรับคนเป็นพ่อลูก จะไม่นับเป็นความเซอร์ไพรส์ได้อย่างไร


ได้คุยกับพ่อวันแรกเป็นยังไงบ้าง

ร้องไห้สิ เราภาวนามาตั้งแต่เล็กแล้วว่าขอให้ฉันเจอคุณสักวันนะ ไม่รู้ว่าเขาเป็นหรือตาย แต่ขอให้ได้เจอ เมื่อ 2 ปีที่แล้วเคยขึ้นโพสต์สเตตัสไว้ว่า “ต่อให้อยู่ในหลุมศพฉันก็จะไปหาคุณ” มันเป็นการตั้งเป้าหมาย บางช่วงที่มีอารมณ์ไม่อยากอยู่ในโลกนี้แล้ว ก็จะคิดถึงสิ่งที่ตั้งใจไว้ยังแต่ไม่สำเร็จ เขายังอยู่ในใจเรา ก็บอกตัวเอง กูตายไม่ได้นะ

เจอครั้งแรกก็ได้วีดิโอคอลคุยกัน “สวัสดี” คำแรกที่เขาพูดเลย เขายังจำภาษาไทยได้หมด เขารู้ว่ามีเรา เขาพยายามที่จะมาหาเราเหมือนกัน แต่ยุคสมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต คนไทยยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เขาบอกมันยากมากที่จะตามหาเรา เขาไม่รู้จะทำยังไง เขาไม่ได้ตั้งใจทิ้งเรา นี่คือสิ่งที่คุยกันครั้งแรก


ไม่รู้สึกว่าเป็นข้ออ้าง ?

ถ้าคุณไม่เชื่อในครอบครัวของคุณ คุณจะอยู่ในโลกนี้ได้ไงวะ ต่อให้มันเป็นข้ออ้าง แต่ถ้ามันทำให้เขารู้สึกสบายใจ แล้วเรื่องมันผ่านมา 50 ปี คุณจะไปปาดคอเขาเหรอ เราก็โตขึ้นมาแล้ว โชคดีต่างหากที่เขายังอยู่ เราทั้งคู่ยังไม่ตาย แถมยังได้คุยกันด้วย นี่แม่งคือเดอะเบสต์ของเราแล้ว

คำแรกที่ได้ยินคำว่าสวัสดี แล้วเขายังเก็บรองเท้าที่เขาเคยใส่มาเมืองไทยจนมีเราไว้ หมายความว่าเขาก็ไม่เคยลืมเราเลย ชีวิตเขาไม่ต่างจากเราเท่าไหร่คือติดเหล้า เหมือนตกอยู่ในหลุมดำทั้งคู่ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วกลายเป็นคนสดใสร่าเริง ทุกวันนี้เป็นช่างไม้อยู่ในพื้นที่บ้านของตัวเอง ล่าสุดทำเตียงให้หลานแล้ว ใช้ไม้จากต้นสนที่โตในบ้านตัวเอง เตรียมไว้รอเราไปหา


ถ้ายังเด็กอยู่ จะพร้อมเจอเขามั้ย

พร้อมเสมอ, เราเคยคิดนะสมัยวัยรุ่นเนี่ย มันเป็นเรื่องของวัย สมองมันแค่นั้น ความเข้าใจต่อโลก ความเข้าใจต่อตัวเองมีอยู่แค่นั้น ตามวัยน่ะ ช่วงวัยรุ่นเราคิดว่ากูเกิดมาทำไมวะ กูอยู่ในประเทศผิดหรือเปล่า แต่ละอย่างเมื่อเรารู้สึกไม่สมหวัง ไม่แฮปปี้ เราจะอยากหนี ตั้งคำถามว่าทำไมกูต้องอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมที่ผ่านมากูต้องเจอแบบนี้

กูเกิดมาทำไม คำถามแบบนี้มันไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้น มีแต่ทำให้เราแย่ลง เหมือนขุดหลุมแล้วเอาตัวเองลงไปในหลุมที่มีแต่เมือก คุณจะไม่เห็นคุณค่าตัวเอง การตั้งคำถามนี้ไม่ได้ทำให้คนอื่นเจ็บปวด คนตั้งคำถามต่างหากที่เจ็บปวด ลองถามตัวเองดูดีๆ คุณจะเข้าไปอยู่ในดาร์กโซนแบบสมบูรณ์เรื่อยๆ เพราะคุณไม่เห็นอะไรสวยงามในโลกนี้แล้ว ไม่เห็นความสวยงามแม้กระทั่งการเกิดของคุณด้วยซ้ำ 

เราเคยจมมาแล้ว บอกได้เลยว่าเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง แล้วคุณจะใช้ชีวิตกับคำถามนี้ไปตลอดจนกระทั่งคุณแก่ คุณจะกลายเป็นคนแก่ที่โคตรดราม่า เรียกร้องความสนใจสุดๆ คุณจะไม่มีความแข็งแรงใดๆ เลย ยิ่งแก่ยิ่งหนัก ยิ่งแก่ยิ่งลงหลุมลึกมีแต่เมือกเต็มไปหมด 


ต้องทำยังไงถึงจะไม่แก่แล้วดราม่า

คนเราถ้าตั้งใจอยู่แบบอยู่เพราะว่าแก่เฒ่าแล้วตายไป มันก็ไม่เจริญเติบโตข้างใน แต่ถ้าจะอยู่หรือมันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตาย ก็อยู่ให้มีคุณค่า เลิกเป็นเด็ก เดินตามวัย 

วัยรุ่นแสวงหาคำตอบให้ชีวิตเป็นเรื่องปกติ เราควรจะปล่อยให้เขาเป็นอิสระ เราไม่เคยบอกให้รุ่นน้องต้องมากราบไหว้ บางคนเรียกเราอาจารย์ อาจารย์พ่องมึงดิ เราไม่ใช่อาจารย์ใคร เราแก่เพราะกูแก่ กูไม่เคยให้ข้าวคุณกิน ไม่เคยสอนคุณที่โรงเรียนด้วย ไม่ต้องเรียกอาจารย์ ไม่ต้องให้หัวโขน เราเกลียดมาก บางคนบอกเราเป็นนักร้องในตำนาน มึงไม่ต้องตำกู กูเจ็บ บอกว่ากูยังมีลมหายใจกูยังรู้สึกดีกว่าเยอะ

บางทีการให้หัวโขนมันทำให้เราเป๋ แทนที่จะรู้ว่าตัวเองมีคุณค่าตรงไหน เสือกต้องรอคำพูดจากคนอื่น ไม่รู้ว่าตัวเองมีคุณค่า แสดงว่าวิญญาณของคุณไม่เหลือแล้ว ต้องรอให้คนอื่นมาคอยบอก เป็นท่านนะ เป็นอาจารย์นะ เป็นดาราค้างฟ้า ไม่ใช่

สุกัญญา มิเกล_Voice_Logo_032.jpg


มนุษย์แม่, สวัสดิการ ความรู้ และการปล่อยวาง 

ในวัย 30 กว่า จากศิลปินสาว มิเกลรับบทบาทใหม่แห่งชีวิตหลังมีครอบครัว เธอให้กำเนิดลูกสองคน จากสายตาคนนอก โลกคงช่างสดใส แต่เปล่า-ในส่วนลึกของเธอ ภาวะ Baby Blue โถมกระหน่ำห้วงรู้สึกอยู่นานแรมปี 

ไม่มีฮาวทูตายตัวว่าจะผ่านพ้นอย่างไร แต่เธอก็ผ่านมาได้ กระทั่งถึงวันหย่าร้าง ลูกสาวเลือกแยกห่าง และเข้าสู่การบำบัดเยียวยา การตกผลึกของเธอไม่ได้มาจากเพียงแค่ศิลปะที่เป็นงานรักงานถนัดเท่านั้น แต่เพราะการตั้งคำถามและหาความรู้…


คุณตั้งคำถามอะไร ถึงข้ามผ่าน Midlife Crisis 

เราไม่เคยถูกสอนให้กล้าที่จะเรียกร้อง คนรุ่นเก่าไม่เคยมีใครบอกว่าอยากได้อะไรก็พูดสิ จริงๆ ทุกคนมีสิทธิ์เรียกร้อง คำว่ารัฐสวัสดิการ คนรุ่นเก่าไม่เคยถูกสอนว่าเงินที่คุณจ่ายภาษีไปนั้นเพื่อจะได้อะไรกลับคืนมา เราไม่เคยรู้เรื่อง รุ่นพี่รุ่นพ่อไม่เคยรู้ รู้อย่างเดียวว่าเขาให้ แม้เป็นเศษนิดเดียวก็รู้สึกว่าเขาให้ แถมยังกดไว้ด้วยคำว่าบุญคุณอีก 

แต่ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงมีการเรียกร้องมากขึ้น เขามีความรู้ว่าภาษีเอาไปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นมั้ย เอาไปใช้ตรงไหนบ้าง แล้วเขาได้อะไร มันจึงเกิดคำถามถึงความแฟร์ว่ามีจริงมั้ย

มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่ใช่หุ่นยนต์ที่กดรีโมทได้ ไม่ได้เกิดมาพร้อมโซ่ คำถามมันอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ เพียงแต่วิธีการแสดงออกไม่มี เพราะถูกบล็อกไว้ 


ตอนตัดสินใจมีลูก พร้อมแล้ว ?

เราอยู่ในสภาพที่รู้ว่าตัวเองพร้อม รู้ตลอดว่าเราจะทำอะไร เคยถามเพื่อนเหมือนกันว่ารอให้พร้อมก่อนแล้วค่อยมีลูกใช่มั้ยถึงจะโอเค เขาบอกว่ามึงไม่เห็นซาเล้งเหรอ เขาพร้อมจะมีมั้ยล่ะ แต่พอมีแล้วเขาไปด้วยกัน เอาลูกให้รอดได้ มึงเป็นมนุษย์เก่งขนาดนี้มึงไม่รอดได้ไง แค่นั้นเลยสัตว์มนุษย์แม่ 

แต่เราถามตัวเองมั้ย มี ฉันจะเป็นแม่คนได้มั้ยน้อ ชีวิตเราก็ดูขมุกขมัวนะ ดูท่าทางจะเป็นโรคจิตด้วยซ้ำ ในวัยนั้นควบคุมอารมณ์ตัวเองยากด้วย เราคงสอนคนไม่ได้ มันต้องเป็นหน้าที่ที่ใหญ่มากเลย เราคงจะเป็นคนที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยไม่สมบูรณ์ 

มันเป็นความคาดหวังของคนที่กำลังจะเป็นแม่ทุกคน เราอยากเห็นลูกเราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด แต่เราตอนวัยนั้น ยังไม่ได้อยู่ในวัย 50 วันนี้ ที่เข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบที่สุด มันทั้งผิดพลาด มีความเจ็บช้ำ มีความเจ็บปวด มีหัวเราะ ผสมคละเคล้ากันไป วันนั้นเรากลับมองว่าถ้าเราไม่ยอมมีลูกตอนนี้แล้วไปมีในอนาคต ลูกเราอาจจะไม่สมบูรณ์มากกว่าที่คิด 


พอลูกโตขึ้นชีวิตยากกว่าเดิมมั้ย

มันก็ยังไม่คลี่คลายเสียทีเดียว ต้องรอดูเขาโต 


ชีวิตแต่งงานล่ะ ?

แต่งงานนี่เรารู้แล้วว่าตัดสินใจผิดกับเพศที่เป็นผู้ชาย มันไม่ใช่วิญญาณเรา เราลองแล้ว รู้เลยว่าเลือกผิด แต่การมีลูกไม่ใช่สิ่งผิดเลย แม้ว่าในวันที่มีลูกเราจะต้องทำงานเหนื่อยโคตรๆ ดูแลคนเดียวทั้งหมด เราก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดพลาด เพราะเด็กมันบริสุทธิ์ มันสอนให้เรารู้ว่ามึงเป็นคนชนิดไหน เขาสอนเราทุกอย่าง ที่เราทำกับเขามันกลับมาสอนเรา แล้วก็ทำให้เราเป็นคนแบบที่นั่งคุยกับคุณอยู่นี้ ทำให้เราโตขึ้น ทำให้เรากลายเป็นผู้หญิงโคตรแข็งแรงเยี่ยง Warrior ป่วยไม่ได้ ตายไม่ได้ (หัวเราะ)


Warrior เป็นยังไง

ใครด่ากู กูไม่สน เรากลายเป็นเหมือนหินผา บอกไม่ถูก เราไม่ยี่หระกับคำใดๆ ทั้งสิ้น เราไปเล่นดนตรีบางวันไม่ได้อาบน้ำ คนมองยี้ กูไม่สน กูหาเงินเลี้ยงลูก มันทำให้เรารู้สึกตัวเองมีคุณค่ามาก ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพไหน มันทำให้เรากลายเป็นผู้หญิงที่มีความเศร้าแต่คนไม่ค่อยเห็น เจ็บแต่คนไม่เห็น

ตอนคิดจะเอาลูกเข้าโรงเรียน เรามีคำถาม ทำไมมันต้องเสียตังค์วะ ทำไมกูต้องซื้อเสื้อผ้ายูนิฟอร์มด้วย อุปกรณ์การเรียนทำไมโรงเรียนไม่มีให้ ต้องเอาตังค์กูทำไมวะ ตายายเราไม่ใช่คนรวย เวลาเปิดเทอมทีเขาก็ต้องหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าให้ ทำไมตายายต้องลำบากแบบนี้ด้วย เสื้อผ้าไปโรงเรียนถ้าใส่เหมือนต่างประเทศคือชุดเหี้ยอะไรก็ได้จะสบายกว่านี้นะ 

กฎเกณฑ์ที่เป็นอยู่มันกระทบชีวิตคน มันส่งผลกันไปหมด การศึกษาของลูกหลานเราสร้างความลำบากให้กับผู้ปกครอง เวลาลำบากปุ๊บแม่งเครียด พอเครียดเด็กเรียนไม่รู้เรื่อง มันก็แบกความเครียดนี้มาจนเป็นผู้ใหญ่ เด็กบ้านเราไม่มีเวลาไปนั่งครีเอทอะไรก็เพราะกฎเกณฑ์ที่กดเด็กไว้ 


สวัสดีการดีๆ ที่คุณเชื่อ ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนอาจจะมองว่าทำให้เด็กสบายเกินไป ต้องให้รู้จักลำบาก ?

ก็คนรุ่นเก่าถูกสอนมาแบบนั้นไง สวัสดิการเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่แล้ว ต่อให้เรียกร้องหรือไม่ จริงๆ มันต้องมี เพียงแต่เราถูกกดไว้ให้ไม่เคยเรียกร้องไง 

สวัสดิการสำหรับคนที่กำลังจะจบชีวิตกับคนที่กำลังจะสร้างชีวิตแม่งสำคัญมาก แต่คนที่อยู่ตรงกลางมีพละกำลังต้องมาดูแลทั้งคนที่เพิ่งเกิดกับคนแก่ด้วยก็เหนื่อย ต้องเสียเวลาไปช่วยเด็กกับคนแก่ แล้วมันจะเหลือเวลาไปพัฒนาประเทศได้ยังไง

เราไม่เคยเห็นโรงพยาบาลไหนมีการอบรมสามีว่าต้องดูแลภรรยาหลังคลอดยังไง ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นซึมเศร้าหลังคลอด เราเคยเสนอไปด้วย แต่ไม่มีใครสน

คนไทยเรามีข้อเสียนะพูดตรงๆ ไม่ชอบอ่าน ไม่ได้บอกว่าทั้งหมด บางคนใช้ความเป็นแม่ตามธรรมชาติก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่พออ่านปุ๊บ เราจะกลายเป็นแม่ที่พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น 


เคยคิดมั้ยว่าตัวเราเองอาจเป็นปัจจัยหนึ่งให้ลูกมีโลกหม่นๆ เหมือนเราในอดีต

ถ้าเราไม่ใช่คนที่ชอบหาความรู้ความเข้าใจกับตัวเรา เราก็จะไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหรือเปล่า มันจะมองไม่เห็น แต่ถ้าเรารู้ว่าอนาคตกูอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้ลูกกูมีปัญหา เราจะเริ่มหาความรู้ แล้วเราจะเริ่มพัฒนาตัวเอง เพราะฉะนั้นถามเราตอนนี้เรารู้ว่าเราไม่ใช่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไปจะไม่มีเอฟเฟคกับลูก แต่เราพยายามที่มันจะทำให้มันเป็นเอฟเฟคทางบวก 


ทำยังไง

สิ่งแรก เราต้องพยายามเสรีกับตัวเรา โอเพ่นมายด์มากๆ แล้วก็สอนให้เขาโอเพ่นมายด์ด้วย เพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มันเป็นวัคซีน เรารู้แค่นี้ ที่เหลือก็ยังเคารพวิญญาณของเขา อย่างลูกสาวเราไม่เลือกที่มาอยู่กับเรา เราก็เคารพเขา ความโกรธมีมั้ย มี เสียใจมั้ย มี แต่เข้าใจเพราะเขาไม่ใช่สมบัติของเรา เขามีวิญญาณของเขา เหมือนตอนที่เราเป็นวัยรุ่น เรามีวิญญาณของเรา 

ศิลปะมันสอนเรา บอกไม่ถูก ไม่มีความรักใดๆ ที่ครอบครองแล้วสมบูรณ์ ถ้าเราไม่รู้สึกครอบครอง เราอิสระกว่า เป็นอิสระให้กับเขาด้วย เราแค่ให้สรีระ ให้โครโมโซม ดีเอ็นเอ ไม่ใช่ให้เขาเกิดมาเพื่อจะมารองรับอารมณ์ของเรา ที่เหลือก็เป็นเรื่องของเขา เขาเป็นทรัพยากรของโลกใบนี้ ไม่ต้องคิดถึงเรา สายสะดือมันขาดกันไปตั้งนานแล้ว เราหวังว่าเขาจะแข็งแรงเหมือนที่แม่เขาผ่านมาได้

จริงๆ มันเป็นวงจรมากเลยนะ ไม่ใช่พันธุกรรม แต่เป็นคัลเจอร์ในการเลี้ยงดู เป็นความเข้าใจที่มีต่อกันในครอบครัว ครอบครัวบ้านเรามีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาน้อยมาก สังคมที่มีคนฆ่าตัวตายหรือตั้งคำถามว่ากูเกิดมาทำไม มันเกิดมาจากสภาวะที่ไม่เข้าใจตัวเอง คนบ้านเราทำห่าอะไรแม่งไม่เคยสนใจจิตวิทยา จะสอนเบบี้ จะทำอะไรกับเบบี้ ก็ไม่นึกถึงใจเขา เอาแต่ใจตัวเอง ฉันอยากให้เธอเป็นอย่างนั้น ฉันหวังดีกับเธอนะ ฉันรักเธอนะ มันเป็นคัลเจอร์ แต่เราเคยพูดกับลูกว่าแม่จะพยายามไม่ให้เกิดมรดกแบบนี้ต่อไป เราต้องฝึกที่จะมองอีกแบบ เริ่มจากเข้าใจตัวเองให้ได้ 

และถ้าวันนึงเขาจะตัดสินใจไปลงเหว เราช่วยแล้วเขาไม่มา ต้องปล่อยนะ ถ้าคุณยังช่วยต่อแสดงว่าคุณละเมิดสิ่งที่เขาต้องการ เจ็บมั้ยมันก็เจ็บ แต่มันเป็นเรื่องความเคารพกันจริงๆ 


นี่นับเป็นวัคซีนที่ได้จากยายด้วยมั้ย

ใช่, เรากำลังจะบอกว่าบางทีการศึกษาแม่งทำให้คนแคบลง แต่ยายเราไม่ได้เรียน ไม่อยู่ในกรอบโรงเรียน เขาอยู่ในกรอบเฉพาะครอบครัว เป็นคัลเจอร์ที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วิธีคิดของยายเวลาเขาเลี้ยงหลาน เขาจะบอกว่าเล่นอยู่ในรั้วนะลูก อย่าออกไปนอกรั้วนะ แต่ที่เหลือเราเล่นห่าอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน หัก แตก เขาไม่เคยว่า กฎข้อเดียวคืออย่าออกนอกรั้ว ที่เหลือฟรีดอม เวลาเลอะมาก็ไอ้ลูกหมา โธ่เอ๊ย แล้วก็ล้างให้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เคารพในความเสรี เวลาเด็กเล่นเปรอะ ไปบอกว่าเห็นมั้ยเลอะแล้ว กลายเป็นความผิด แสดงว่าคุณไม่ได้เคารพธรรมชาติเขา เด็กมันต้องเล่นน่ะ สมัยเด็กๆ บ้านเรามีแต่ดินก็ต้องเปรอะ มีเรื่องเดียวที่ยายควบคุมเราคือเรื่องความเป็นผู้หญิง (หัวเราะ)

สุกัญญา มิเกล_Voice_Logo_025.jpg


ความเป็นมนุษย์, เรียนรู้จากเงามืด

ศิลปินทำงานด้วยการใช้ความรักขับเคลื่อน ถูกมั้ย ก็ส่วนหนึ่ง แต่สำหรับมิเกล-ผู้เกิดมามีบาดแผลในวัยเด็ก ครอบครัวไม่สมบูรณ์ ย่อมมองความรักไปไกลกว่าแค่เพียงความหอมหวานโรแมนติก นั่นจึงสะท้อนผ่านออกมาในงานเพลงของเธอ ที่บ้างหม่นเศร้า บ้างขรึมขลัง ดุดัน ก้าวร้าว

อาจกล่าวได้ว่าทั้งตัวตนและผลงานของเธอมุ่งทำความเข้าใจความเป็นมนุษย์โดยแท้ แต่คำถามคือความเป็นมนุษย์ของมิเกลมีหน้าตาเป็นอย่างไร


คุณบาลานซ์ตัวเองยังไง แม้ประสบการณ์ในวัยเด็กไม่ได้สดใส แต่ยังทำงานได้

ตั้งแต่เล็ก เราเป็นเด็กที่ขาดความรัก ต้องเจอคำถามว่าพ่อฉันคือใคร แม่ฉันอยู่ไหน แต่เราได้ความรักจากยายกับตาเข้ามาแทน เราเป็นเด็กที่ขาดที่สุดมั้ย ไม่ใช่ แต่เราเป็นเด็กที่ไม่ขาดเลยมั้ย ก็ไม่ใช่ เราเป็นครึ่งบกครึ่งน้ำ ครึ่งผีครึ่งคน (หัวเราะ) มันกลายเป็นความกลมกล่อมนะ ความรู้สึกข้างในเราพร้อมจะแจกจ่ายความความรักให้กับผู้คนได้เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เราทำงานศิลปะ เวลาเล่นดนตรีเราพร้อมจะกอดทุกคน แต่เราก็มีขีดจำกัด บางทีมึงอย่ายุ่งกับกู ขอกูอยู่ในโลกทึมๆ อย่ามายุ่ง ขีดเส้นไว้ มันเป็นสองมุมของเรา  


ตอนออกเทปยุค 90s คุณเจอแรงท้าทายอะไรมั้ย

ปกเทปเราสูบบุหรี่ 2 ปก ยุคนั้นเราโดนด่าว่าเป็นต้นแบบที่ไม่ดี สักด้วย สูบบุหรี่อีกต่างหาก เรากลายเป็นคนที่เป็นต้นแบบในทางดาร์กที่ให้เด็กๆ ศึกษากันในโรงเรียนเลยนะ เขาบอกว่าเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายนะดูไว้ อย่าทำอย่างนั้น

แต่เราจะบอกว่า มนุษย์เรามีสองด้าน ทำไมเราต้องชื่นชอบและชื่นชมกับคนที่โชว์แค่ด้านเดียว ในเมื่อมันมีสองด้าน แม้แต่คนที่เป็นฆาตกรมันก็มีอีกด้านหนึ่งซึ่งคุณไม่เคยรู้ แม้แต่คนที่พูดจาดี ก็หั่นศพเยอะไป 

คนส่วนใหญ่ไม่ชอบมองความสกปรก ไม่ชอบมองเห็นความขมุกขมัว ทุกคนอยากเห็นทุ่งลาเวนเดอร์ อยากจะเห็นแต่ดอกลาเวนเดอร์ แต่มึงไม่ดูใต้ดินแม่งมีไส้เดือนอยู่เหมือนกัน ลาเวนเดอร์มันก็นับไปถึงรากมันถึงจะเรียกว่าลาเวนเดอร์ แต่คนเลือกมองแค่ผิว มันควรจะยอมรับซึ่งกันและกันจริงๆ บางคนบอกเด็กรุ่นใหม่นิสัยไม่น่ารักเด็ก คนรุ่นเก่าก็ไม่รับฟัง แม่งก็เป็นกันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับทั้งคู่มองเห็นกันและกันอีกด้านมั้ย ถ้าคนทำความเข้าใจกันมันจะคุยกันรู้เรื่อง 

อย่างเรา เราทำความเข้าใจว่าทำไมถึงกลายเป็นคอนเซอร์เวทีฟไปพักใหญ่ เพราะเราถูกสอนมาแบบนั้น แล้วมันใช่ตัวเรามั้ยล่ะ ถ้าเราเกิดมาไม่มีการมาบอกว่าต้องบูชาเคารพใคร เราเป็นแบบสัตว์ป่า กูจะเคารพใครมั้ย แล้วตอนนั้นคืออะไรวะ อ๋อ เรียนรู้ตัวเองแล้วยอมรับ กูควาย โอเค 

ทุกวันนี้คนหัวก้าวหน้าบางคนก็ยังเกลียดเราอยู่ คนฝั่งคอนเซอร์เวทีฟก็ว่ากูทรยศเปลี่ยนไป ไม่รู้ว่ามึงไม่เข้าใจกู หรือมึงไม่เข้าใจตัวมึงด้วย มันเลยกลายเป็นแบ่งพวกกันไปโดยที่คุณไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้ ถ้ายอมรับกันมันก็จบ แต่ส่วนใหญ่มึงต้องเป็นแบบนี้ กูต้องเป็นแบบนี้


คุณเชื่อในความมหลากหลาย ?

เชื่อ, มนุษย์เราจะเป็นเอเลี่ยนมากเลยถ้าทุกคนเดินแบบเดียวกัน คิดแบบเดียวกัน พูดแบบเดียวกัน กินแบบเดียวกัน ใส่เสื้อสีเดียวกัน เราจะไม่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น เราจะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีกล้อง ไม่มีครีเอทีฟใดๆ มันไม่มีอะไรใหม่ มนุษย์เราจะไม่เป็นโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหรือเอเลี่ยนสร้าง เราก็คงไม่ได้อยากได้แบบนั้น


ตอนคุณมีชื่อเสียงมากๆ กลัววันนึงคนจะลืมมั้ย

เรามีช่วงนึงเป็นอย่างนั้น เราเชื่อว่าศิลปินที่เคยมีชื่อเสียงมากๆ พอผ่านช่วงยุคสมัยที่ดาวน์จะเป็นช่วงที่แย่มาก ศิลปินจะกลัวที่สุดในชีวิต 

ศิลปินเหมือนคนโรคจิตชนิดหนึ่งคือต้องการความรักมาก ต้องการเห็นคนยิ้มกับเรา ร้องไห้กับเรา ดังนั้นเวลาที่ศิลปินอยู่ในที่ที่มีคนรักเยอะๆ มันจะเหมือนเป็นความเคยตัว พอวันหนึ่งคุณเล่นดนตรี มีคนดูเหลือ 5 คน 10 คน ตายแล้ว ตกลงกูเหลืออะไรวะเนี่ย มันเหมือนตกตึก บางคนจะรู้สึกว่ารับไม่ไหว สูญเสียรุนแรงมาก เจ็บปวดรุนแรงมาก แต่บางคนหายใจเฮือกแล้วเรียนรู้ตัวเองใหม่ เราเป็นแบบหลังเพราะได้วัคซีนที่ยายใส่ไว้ว่าลาภยศชื่อเสียงมันแค่กิเลส ไม่ใช่ของจริง 

โลกเอนเตอร์เทนเมนท์มันคือโลกสมมุติ สำหรับเราโลกจริงคือเรามีดนตรี เรามีความสุขตรงนี้ บางคนเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกเอนเตอร์เทนเมนท์จนลืมว่าชีวิตจริงคืออะไร ถึงขนาดต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อไปนั่งร้านหรูๆ เพื่อให้คนรู้สึกว่าตัวเองเป็นดาราค้างฟ้า จริงๆ มันผิดทางตั้งแต่คิดแล้ว

จะมีสักกี่คนที่มีเพื่อนคอยบอกว่าชีวิตจริงของคุณเหลืออะไร เพื่อนบางคนเราเคยพูดกับเขาว่า “เดี๋ยวนะ ตอนนั้นมึงดังมาก กูก็ดังมาก แต่ปัจจุบันนี้มึงเป็นพ่อ กูเป็นแม่ มึงเป็นดาราทั้งชีวิตไม่ได้” ความจริงคือสิ่งนี้ เราบอกตัวเองว่าถ้าเราไม่มีลูก เราอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วช่วงที่ดาวน์ แต่พอเรามีลูก มันเป็นพลังแบบใหม่ เราบอกไม่ถูก มันทำให้เราไม่ยึดติดกับอะไรเลยยกเว้นครอบครัว 

เคยมีตอนท้องไปเล่นดนตรี บางคนพูดว่าท้องขนาดนี้แล้วทำไมไม่อยู่บ้าน ออกมาร้องเพลงทำไม ศิลปินออกมาเล่นเพลงในผับได้พันกว่าบาท ไม่มีจะกินแล้วใช่มั้ย เราต้องบอกตัวเองมากๆ ว่าเดี๋ยวนะ กูเลือกชีวิตนี้เอง ถ้าเลือกจะเป็นดารากูคงต้องมีผัวรวย จะได้แต่งตัวสวยๆ หรูหราเป็นดาวค้างฟ้า ทุกคนกราบไหว้ แต่นี่เราเลือกจะเป็นนักดนตรี มันคนละพวกกับความเป็นซูเปอร์สตาร์


ความเข้าใจนี้ถ้าไม่แก่ ไม่เติบโตมา เข้าใจได้มั้ย

คนเรานี่แปลกนะ เวลามนุษย์แก่เฒ่าโดยที่ไม่ได้กินแค่ข้าวแล้วแก่ไปเรื่อยๆ แต่เฒ่าจากข้างใน โตจากข้างใน ยิ่งแก่ยิ่งเห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่ชอบอย่างเดียวคือตีนกากับพุงที่โย้ แต่นอกนั้นเรารักตัวเองในวัยที่เราแก่ขึ้นเรื่อยๆ มากเลย ไม่รู้ทำไม 

เรามั่นคงทางความรู้สึกมากและเราทำความเข้าใจคนรอบข้างค่อนข้างเยอะ เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจตัวเราเอง แล้วจะคอยระแวงทุกคนที่อยู่รอบข้างไปหมด พารานอยด์ แม้ว่าจะอยากทำอะไร กูทำ ในขณะเดียวกันมันก็มีความขมุกขมัว ระแวงผู้คน เกลียดโกรธสังคมอยู่ในนั้น แต่ตอนนี้นิ่งมาก ไม่มีอีโมชั่นแบบนั้นอีกแล้ว 

มีแต่ความเข้าใจ อ๋อ เขาด่ากูเพราะกูเหี้ยแบบนั้น (หัวเราะ) มันมีเหตุมีผลแห่งความเข้าใจ เราเสถียรทางความรู้สึกมากๆ ดีใจมากที่ชีวิตยังมีลมหายใจอยู่ ยังทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ ยังร้องเพลงได้ ใครจะบอกมิเกลอ้วน กูไม่สน กูยังร้องเพลงได้ แล้วร้องเพลงร็อคได้ด้วย ขี้คุยด้วยกูน่ะ เรายังรู้สึกเหมือนเราสกินเฮดอยู่ตอนนี้ (หัวเราะ)

สุกัญญา มิเกล_Voice_Logo_026.jpg


ลงถนน, เคียงข้างคนหนุ่มสาว

เป็นข้อสงสัยกันมาพักใหญ่ ว่าทำไมศิลปินที่ดูทรงหัวขบถก้าวหน้าในยุคหนึ่งถึงมักเอนเอียงตอบรับเข้าร่วมการเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิปักษ์กับแนวทางประชาธิปไตย--คำตอบอาจอยู่ในสายลม

มิเกลเองก็เช่นกัน ก่อนหน้าที่เธอจะหันหลังให้เส้นทางที่พากันไปเข้ารกเข้าพง เธอเคยร่วมขบวนศิลปินที่ชักพากันไปล้มรัฐบาลพลเรือน และเป็นส่วนหนึ่งที่นำพาคณะทหารเข้ายึดอำนาจเมื่อปี 2014 

“ตอนนั้นคืออะไรวะ อ๋อ เรียนรู้ตัวเองแล้วยอมรับกูควาย โอเค” มิเกลอธิบายตัวเองไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อคนเราตาสว่างได้มากกว่าหนึ่งครั้ง และเป็นครั้งใหญ่ที่คนหนุ่มสาวออกมาเปล่งเสียงทะลุเพดานไปเมื่อปี 2020 มิเกลก็กลับออกมาจากถ้ำ เดินจับมือ โอบกอด และชูสามนิ้วเคียงข้างเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา 

ไม่มีใครตอบได้ว่าทางที่มิเกลและคนหนุ่มสาวเลือกจะไปสู่หนไหน แต่ขณะบันทึกบทสัมภาษณ์นี้ปี 2022 ก็นานพอที่เธอจะลองย้อนทบทวนอดีต เพื่อวอร์มอัพหลักการที่ยึดถือ ก่อนเกร็งขาก้าวไปสู่อนาคตต่อ


ปี 2020 ที่นักศึกษาออกมาสู้จนบาดเจ็บมีคดีติดตัว มวลความรู้สึกคุณเป็นยังไง 

โกรธแค้น รู้สึกว่าการเคารพกันในฐานะมนุษย์มันไม่มีจริงๆ เจ็บปวดมาก ผ่านไปปีนึงมานั่งคิดเพราะเริ่มท้อแท้ บอกตัวเองเราต้องไม่อีโมชั่นนะ คือถ้ากติกาสังคมมันแฟร์ ต่อให้แพ้เราก็รู้สึกภูมิใจนะ แต่นี่มันไม่แฟร์ ถามว่ายังมีความหวังมั้ยว่ากูจะชนะสักครั้ง ก็มีอยู่ 


ทำไมถึงยอมรับว่าตัวเองควายก่อนหน้านี้


ก็ควายจริงๆ (หัวเราะ) เพราะไม่ฟังไง ไม่พยายามหาความรู้ใหม่ๆ เพราะถูกฝังหัวมาว่าอย่าไปฟังพวกหัวรุนแรง เราถึงด่าตัวเองได้เต็มปากว่าเราโง่ คนเขาจะหลอกเขามีเสรีที่จะหลอกใครก็ได้ แต่เราต่างหากที่ปล่อยให้เขาหลอกมานาน เราไม่มีต่อมจะวิเคราะห์ใหม่ พอเราฟังมากขึ้น วิเคราะห์มากขึ้น เราก็ยอมรับว่าเราถูกหลอกมานาน


ถูกหลอกเรื่องอะไร

เรามีมุมมองตั้งแต่ลูกคนแรกแล้วว่าเราไม่อยากให้สังคมอยู่กันด้วยระบบอุปถัมภ์ มันไม่แฟร์ เราไม่ใช่คนตระกูลใหญ่ ไม่มีแบงค์ใหญ่ คนรู้จักเรามากก็ไม่ใช่ว่าเราจะมีอภิสิทธิ์อะไร ลูกๆ เราต่อให้เรียนเก่งแต่ถ้าคุณไม่มีโอกาส ไม่มีคนอุปถัมภ์ ลูกเราจะเหลืออะไร มันไม่แฟร์ เราอยากเห็นกติกาที่แฟร์ ทำให้เด็กๆ มีโอกาสดีๆ แต่วันนี้มันไม่มีโอกาสได้ กติกามันทุเรศ

เราเคยเป็นคอนเซอร์เวทีฟ เราพยายามบอกเพื่อนๆ แล้วว่าคุณกดพวกเขาไม่ได้ตลอดไปหรอก เด็กรุ่นใหม่เกิดขึ้นทุกวัน และเขาก็เรียกร้องสิ่งที่เขาสมควรจะได้ เพราะเขาคือทรัพยากรโลก แต่บังเอิญเขาเกิดในประเทศนี้ แล้วคุณจะให้สังคมมันล่มสลายไปพร้อมคุณเหรอ เป็นไปไม่ได้ โลกใบใหม่มันมาเหมือนกระแสน้ำที่ต้องไหลผ่านเรา


ต้องเปลี่ยนกติกา ?

เป็นความหวังนะ ทั้งที่รู้ว่าความเป็นจริงและความหลากหลายคนบ้านเราเนี่ยยาก คนดำคนขาวฆ่ากันมาจนปัจจุบันนี้ก็ยังมีเหลือซากอยู่เลย แต่ที่เขาอยู่กันได้เพราะเขามีกติกาสากลในการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ใช้กฎหมายคนละอันแบบบ้านเรา เหมือนกับสมัยก่อนห้องน้ำคนขาวต้องเฉพาะคนขาวเท่านั้น คนดำห้ามเข้า ก็ฆ่ากันตาย 

สิ่งที่คุณกำหนดไว้ในสังคมให้คนอยู่ร่วมกันมันเป็นตัวกำหนดว่าสังคมนี้จะเป็นแบบไหน เด็กรุ่นใหม่จะเคารพพวกคุณได้ต่อเมื่อคุณทำกฎหมายให้มันแฟร์และยุติธรรม ไม่งั้นจะเราไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้เลย 

หรือเราพอใจอยู่ในประเทศที่แม่งเหมือนฝูงลิง ฆ่ากันเสร็จก็ไถกลบไปไม่ต้องพูดถึงมัน ประเทศไทยตอนนี้มันอยู่กันเหมือนใช้สัญชาตญาณของฝูงลิงน่ะ ใครมีอำนาจเหนือกว่าก็กำหนดกติกา โลกสากลเขาไม่เอาแบบนี้ 

ทั้งเพศสภาพ ศาสนา ภาษา สิทธิคนต้องเท่ากัน แต่ประเทศไทยยังไม่ยอมเลยแม้กระทั่งสมรสเท่าเทียม มันเลวร้ายมาก ไม่รู้มันเจ็บกระโปกใคร. 

สุกัญญา มิเกล_Voice_Logo_020.jpg

ภาพ : ปฏิภัทร จันทร์ทอง


ธิติ มีแต้ม
สื่อมวลชน
27Article
0Video
0Blog