วันที่ 18 ธ.ค. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปถึงภาพรวมในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นฯ และร่วมหารือกับนักธุรกิจว่า คนญี่ปุ่นลงทุนในไทยมากกว่า 60 ปี และเป็นหนึ่งประเทศที่ลงทุนมาก มูลค่าหลายๆ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลยานยนต์ และในอีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งเรามีความสัมพันธ์ยาวนานทั้งในระดับประชาชน รัฐบาล และราชวงศ์
ฉะนั้นการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้เรื่องหนึ่งที่เราพูดถึงคือ “ใจถึงใจ” ทุกคนก็มีแต่รอยยิ้ม ความหวังดี ปรารถนาดีให้แก่กันและกัน ถือเป็นเรื่องน่ายินดี ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยังได้พูดถึงคนไทยอย่าง ’เจ ชนาธิป‘ และจากที่ตนคิดว่านักธุรกิจเกินกว่าครึ่งที่พบ เคยประจำสำนักงานอยู่ที่ประเทศไทย ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญและการที่ผู้บริหารเหล่านั้นเคยอยู่เมืองไทย และวันนี้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขององค์กร ตนเชื่อว่าการที่บริษัทจะมาลงทุนในไทยก็มีเยอะ โดยเขาก็ได้แสดงความต้องการให้รัฐบาลไทยดำเนินการอำนวยความสะดวก อาทิ เรื่องความมั่นคงทางการเมือง สิทธิประโยชน์ทางภาษี พลังงานสีเขียว การเข้าถึงง่ายของวัสดุที่จะนำมาผลิต และสัญญาทางการค้า แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดเลย และเรารู้กันอยู่แล้วคือเรื่อง “ใจถึงใจ” รวมถึงทำให้คนญี่ปุ่นไปอยู่ไทยแล้วรู้สึกสบายใจในการอำนวยความสะดวก อาทิ เรื่องการรักษาพยาบาล อาหารการกิน ค่าครองชีพที่ถูก เป็นต้น ตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง และเป็นเรื่องที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ตลอดการเข้าร่วมประชุม และพบปะนักธุรกิจ 4-5 วันที่ผ่านมา ในด้านการลงทุนไม่มีปัญหาเลย เพราะทุกอย่างคุยกันด้วยดี เช่น ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ขอให้อำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่านักธุรกิจโดยไม่ต้องขอ เราก็ดำเนินการให้ทันที และอีกหลายเรื่องเราก็ดำเนินการให้เต็มที่ พร้อมย้ำว่ามาครั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และยืนยันว่า “ใจถึงใจ” สองประเทศมีมาตลอด
ขณะที่การร่วมงานสัมมนาโครงการแลนด์บริดจ์กับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นเกือบ 30 แห่งนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนและ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นำเสนอแก่นักลงทุนรายใหญ่ไป ซึ่งบรรยากาศได้รับการตอบรับอย่างดี มีตัวเลขออกมาชัดเจน แต่อย่างไรเราก็มีการบ้านที่ต้องทำอยู่เยอะตามที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านแนะนำมา รัฐบาลอาจต้องพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากคนในพื้นที่มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฉะนั้นจึงต้องนำมาถกเถียงพูดคุยกัน พร้อมยืนยันว่าทุกส่วนในประเทศต้องมีส่วนร่วมในการทำเมกะโปรเจกต์ เพราะถ้าเราไม่ทำก็จะไม่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมไฮเทคได้ และอาชีพต่างๆ ก็จะไม่สามารถยกระดับจีดีพีประเทศได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยอีกว่า ตนดีใจที่นักลงทุนญี่ปุ่นเบอร์ใหญ่ๆ มากันเยอะ จึงคิดว่าเขามีความสนใจมากในเรื่องนี้ รัฐบาลยืนยันว่าหากมาร่วมลงทุนแล้ว จะได้รับการอำนวยความสะดวก
เมื่อถามว่า จากที่พูดคุยกับหลายบริษัทมีทิศทางบวกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี บอกว่า บวกมากๆ และจากที่ตนได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เชื่อว่าท่านรู้อยู่แล้ว ว่าคุยกันแล้วเป็นอย่างไร ตนได้บอกไปว่าการเดินทางมาครั้งนี้ให้คะแนนความพึงพอใจที่นักลงทุนญี่ปุ่นมีกับไทย 8-9 จาก 10 คะแนน โดยทางนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยิ้มและมีท่าทีไม่ได้แปลกใจอะไร ตนยังเชื่อว่าทุกบริษัทที่มาก็มีความสบายใจ ที่ระดับผู้นำประเทศได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงให้คำตอบที่ชัดเจนด้วย “ให้ได้ก็บอกให้ได้ ให้ไม่ได้ก็บอกคงให้ไม่ได้ แต่มีทางเลือกอื่นให้เลือก” และเชื่อว่าทุกหน่วยงานที่มาทำการบ้านมาอย่างดีมาก ตนเพียงมาให้คำยืนยันกับนักลงทุนญี่ปุ่นว่าทำเต็มที่