นายประเทือง ม่วงอ่อน อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวผ่านเวทีเสวนาระดมความเห็น "นวัตกรรมการหาเสียงเลือกตั้ง" จัดโดยสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับวิทยาลัยการเมืองการปกครองและสํานักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า เกี่ยวกับนวัตกรรมการหาเสียงในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี พบว่าใน 10 เขตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยใช้ social media ในการหาเสียงมากกว่าพรรคการเมืองอื่น โดยพรรคอนาคตใหม่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเน้นการขายตัวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค แตกต่างจากพรรคเพื่อไทยที่จะใช้โซเชียลมีเดียหาเสียงกับผู้สมัคร ส.ส.แต่ละราย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยตำรวจเอกวิเชียร ตันศิริคงคล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวถึงนวัตกรรมการหาเสียงเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดชลบุรีว่า มีนวัตกรรมในการสร้างพรรคพลังประชารัฐขึ้นในพื้นที่ จากการที่พรรคพลังชลเดิมที่เข้าสังกัดในพรรคการเมืองนี้ เป็นผลจากกระแสการสืบทอดอำนาจที่เกิดขึ้นในพื้นที่
ขณะที่บัตรเลือกตั้งใบเดียวมีผลต่อการตัดสินใจในการลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะการหนีจากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย อย่าง "ตระกูลเนื่องจำนงค์" ที่หนีจากพรรคประชาธิปัตย์ไปพรรคพลังประชารัฐ เพราะมองออกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีเกิดภาพโกลาหลในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ยุบ 'ทษช.' เอื้อ 'อนาคตใหม่'
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยตำรวจเอกวิเชียร กล่าวต่อว่า พรรคอนาคตใหม่ได้สร้างปรากฎการณ์ในพื้นที่ชลบุรี โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 5 เขต 6 และ เขต 7 ซึ่งเป็น ส.ส.หน้าใหม่และคนในพื้นที่บางส่วนไม่รู้จักบุคคลเหล่านี้ โดยการที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบนั้น คะแนนเลือกตั้งถูกเทไปให้เขตเลือกตั้งเหล่านี้ โครงสร้างกับความโชคดีที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบนั้น จึงทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ประโยชน์
ขณะที่นักการเมืองเก่า หรือบ้านใหญ่ในพื้นที่ คิดไม่ถึงว่าพรรคอนาคตใหม่จะประสบความสำเร็จ และที่สำคัญกลยุทธ์ของนายธนาธรที่ประสบความสำเร็จ คือการใช้ new media และการนำเสนอนโยบายแนวคิดการปฏิรูปกองทัพ ที่ถูกใจกลุ่มคนรุ่นใหม่
สมาชิกสภา กทม. ผลพวงชัยชนะในพื้นที่เมืองกรุง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เกิดการพลิกผันในการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ โดยพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส. 12 คน พรรคอนาคตใหม่ ได้ส.ส. 9 คน พรรคเพื่อไทย ได้ส.ส. 9 คน โดยภาพรวมคะแนนของพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนกว่า 1.2 ล้านคะแนน ขณะที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคอนาคตใหม่ได้ 1.4 ล้านคะแนน ทำไมคาดการณ์ได้ว่าในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในอนาคตจะได้ผู้ว่าฯ มาจากฝ่ายของพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคะแนนเสียงจะไม่แตก ต่างจากพรรคอนาคตใหม่กับพรรคเพื่อไทยที่ต้องแข่งขันกันอย่างแน่นอน
ซึ่งเงื่อนไขชัยชนะของ ส.ส.ในกรุงเทพฯส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานการเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก. โดยเฉพาะ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ย้ายมาจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยเป็น ส.ก.มาก่อน ทำให้เกิด ส.ส.หน้าใหม่จำนวนมากหรือ first time winner 12 เขตเลือกตั้งที่พรรคพลังประชารัฐได้รับชัยชนะ จึงบ่งบอกได้ถึงภาพจริงของกรุงเทพมหานครที่ว่า การเมืองของกรุงเทพฯ กำหนดจากความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ก.กับพื้นที่
ขณะที่ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ส่วนหนึ่งมาจากการเป็นนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ไม่ใช่มนุษย์ที่ปราศจากชนชั้นและมุมมทางสังคมด้านอื่นๆ ซึ่งจะต้องไปวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ โดยเฉพาะโปรไฟล์หรือประวัติของผู้สมัคร
ชี้ภาคใต้ ภูมิใจไทย หาเสียงตรงเป้า
ผู้ช่วยศาสตราจารย์บูฆอรี ยีหมะ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา กล่าวว่า สาเหตุที่พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ภาคใต้ ทางรัฐศาสตร์คือความจงรักภักดีผูกพันกับพรรค ประชาชนไม่ได้เลือกเหมือนการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมาจากปัญหาเอกภาพภายในพรรคเอง โดยเฉพาะการแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ซึ่งส่งผลมาถึงการจัดโผผู้สมัคร ส.ส. ขณะที่ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลคือการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม
ขณะที่นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและมารดาประชารัฐของพรรคพลังประชารัฐ มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน รวมถึงนโยบายการแก้ไขปัญหายางพาราของพรรคภูมิใจไทยในเขตเลือกตั้งที่ 7 ของจังหวัดสงขลาที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ได้ ส.ส.ที่ชนะผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
ปชป. มีโอกาสฟื้นศัทธา จากผลดีลเก้าอี้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์บูฆอรี กล่าวสรุปว่า การหาเสียงแบบเก่ายังคงมีอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งการแจกใบปลิว รถแห่หาเสียง การจัดเวทีปราศรัย การหาเสียงแบบใหม่ผ่าน social media ทั้ง facebook และ twitter พรรคอนาคตใหม่จะใช้สื่อประเภทนี้อย่างประสบความสำเร็จ โดยเชื่อมโยงจากสื่อโซเชียลระดับชาติมาอย่างระดับพื้นที่ ส่งผลให้พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนอย่างเหลือเชื่อในหลายเขตเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์ได้รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวงตามข่าวที่เกิดขึ้น และพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการในพื้นที่ภาคใต้เลย จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมาในพื้นที่ภาคใต้ จากการทำผลงานผ่านตำแหน่งรัฐมนตรีได้