นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนากรมฝนหลวงและการบินเกษตร ครบรอบปีที่ 6 และเป็นประธานในพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ว่า สำหรับปัญหาฝุ่นละอองในปัจจุบันที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมฝนหลวงฯ ได้ขึ้นบินปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการขึ้นบินฝนหลวงจะประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 2 ประการ 1. ต้องมีความชื้นสัมพัทธ์ที่ค่อนข้างสูง อยู่ในระดับร้อยละ 60-70
และ 2. ค่าการยกตัวของเมฆ ถ้าติดลบ และความชื้นสัมพัทธ์มาก ก็สามารถปฏิบัติการฝนหลวงได้สำเร็จ โดยตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค. มีค่าความชื้นสัมพัทธ์สูงถึงร้อยละ 70 และค่าการยกตัวของเมฆติดลบ ทำให้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จปริมาณฝนตกตามพื้นที่เป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบแก้ไขเกี่ยวข้องกับฝุ่นละออง คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณะสุข ในส่วนของกรมฝนหลวงฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมฐานบิน สถานีที่ทำฝนหลวงรอบ กทม. และเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ ระบบการสื่อสาร และติดตามสภาพอากาศ ตลอด 24 ชม.
“ค่าฝุ่นละอองใน กทม.ขณะนี้ เกิดจากมลพิษ การใช้ชีวิตของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลพยายามลดหรือบรรเทาเบาบาง ขณะนี้แม้เราแก้ไขโดยการใช้ฝนหลวงไม่ได้ จึงบรรเทาด้วยวิธีการฉีดพ่นละอองน้ำ การตรวจจับควันดำยานพาหนะที่ปล่อยแก๊ส โรงงานปล่อยของเสีย ซึ่งค่าความเสียของอากาศหรือค่าฝุ่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อยู่ในระดับที่จะมีผลต่อสุขภาพ แต่กราฟแสดงคุณภาพอากาศไม่ได้ขึ้นสูงทุกวัน บางวันลดลง เรื่องเหล่านี้ยอมรับว่าเป็นความพยายามของรัฐบาล ในขณะเดียวกันจะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย” นายกฤษฎา กล่าว
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้มีนโยบายเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน โดยการจูงใจไม่ให้เกษตรกรเผาซากพืช ที่ทำการเกษตร ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน โดยประสานงานกับ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้หาเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยวิธี “ผลาญ 3 ผลาญ 4” คือ การไถกลบด้วยจอบ หรือรถไถ ในกรณีที่เกษตรกรปลูกข้าวโพด เดิมเมื่อเก็บฝักข้าวโพดเสร็จก็จะนำไปเผา เพื่อเตรียมทำพืชฤดูใหม่
แต่ปัจจุบันพบว่า เมื่อเก็บข้าวโพดเสร็จจะมีการไถกลบ แล้วโปรยสารอีเอ็มเพื่อย่อยสลายภายใน 15 วันหรือ 1 เดือน ทำให้ดินกลายเป็นปุ๋ย ขณะนี้ได้เผยแพร่วิธีดังกล่าวไปยังเกษตรกรซึ่งเป็นที่นิยม เนื่องจากวิธีเผานั้นทำให้ดินเสียหาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทยได้สร้างความเข้าใจให้กับเกษตรกรเพื่อหันมาลดการเผาให้มากขึ้น ดังนั้นในปี 2559-2561 มีค่าความร้อนของอากาศที่เกิดจากการเผาของซากพืช วัชพืช น้อยหรือแทบไม่มีเลย
ด้านนายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า การดำเนินงานที่ผ่านมา กรมฝนหลวงฯ ได้ปฏิบัติการทำฝนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ขาดแคลนน้ำได้ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยประสิทธิภาพการทำฝนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 97 ขึ้นไป ในแต่ละปีสามารถช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ถึง 200-300 ล้านไร่ รวมทั้งมีการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำฝน รวมถึงในด้านความร่วมมือกับต่างประเทศและการเผยแพร่ศาสตร์พระราชาในต่างแดน ยังคงดำเนินงานอยู่อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาภัยแล้ง
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีต่อไป ยังคงดำเนินงานและภารกิจต่าง ๆ ได้แก่ การขับเคลื่อนโครงการวิจัย เช่น การศึกษาวิจัยการทำฝนด้วยเทคนิคเผาจากภาคพื้น (Ground Based Generator) จะทดลองในพื้นที่ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่อับฝน โดยการเผาให้เป็นควันอนุภาพเล็กๆ ลอยขึ้นไปหาเมฆ เพื่อทำกระบวนการให้เกิดฝน รวมทั้ง โครงการวิจัยพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน (UAV) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการฝนหลวงแบบเมฆอุ่นโดยใช้ UAV ยิงพลุสารเคมีซิลเวอร์ไอโอไดด์ และเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานศาสตร์พระราชา
นอกจากนี้ จะมีการปรับขยายศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเพิ่มขึ้นจากเดิม 5 ศูนย์ คือ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง จ.บุรีรัมย์ และจะมีการพิจารณาย้ายศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง จ.เชียงใหม่ มาประจำการ ที่ จ.ตาก เนื่องจากสนามบินเชียงใหม่ จราจรค่อนข้างแออัด ไม่สะดวกในการขึ้นบินปฏิบัติการ รวมทั้งมีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเพิ่มอีกแห่งที่ จ.พิษณุโลก ในปี 2563
ตลอดจนเร่งดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนการบินฝนหลวง ที่ จ.ตาก เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนนักบิน พร้อมรองรับความร่วมมือระหว่างประเทศ ในส่วนของนักบินต่างประเทศที่เข้ามาเรียนรู้การบินทำฝนหลวง เนื่องจากการบินทำฝนแตกต่างจากการบินปกติ และจัดสร้างศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการดัดแปรสภาพอากาศ ที่ จ.เพชรบุรี เป็นแหล่งความรู้ด้านงานวิจัย งานวิชาการ โดยเป็นศูนย์อบรมเพิ่มพูนความรู้ให้กับบุคลากรฝนหลวง และต่างประเทศที่สนใจ รวมทั้งโรงเรียนการบินฯ และศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี คาดว่าในปี 2563 จะเป็นรูปธรรม
ขณะที่ สถานการณ์คุณภาพอากาศ พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล คุณภาพอากาศอยู่ในระดับ คุณภาพดีถึงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
สารมลพิษทางอากาศที่ตรวจพบเกินมาตรฐานได้แก่ ฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจพบค่าระหว่าง 44 - 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m3) เกินมาตรฐานที่บริเวณ เกินมาตรฐานที่บริเวณริมถนนพระราม 4 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ, ริมถนนอินทรพิทักษ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ, ริมถนนลาดพร้าว เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ, ริมถนนดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ, แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ, ต.นครปฐม อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม, ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง สมุทรปราการ, ต.บางเสาธงอ.บางเสาธง สมุทรปราการ, ริมถนนคู่ขนานพระราม 2 อ.เมือง
คุณภาพอากาศ เวลา 10.00 น. จาก air4thai