ธนาคารโลกระบุว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และ 2567 ลดลงจาก 3.4% และ 3.5% ที่เคยมีการประมาณการเอาไว้ในเดือน ต.ค. ตามลำดับ โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2565 ไทยในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 2.6%
ธนาคารโลกกล่าวว่าการเติบโตของไทยในปี 2566 ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของการส่งออก และมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังที่ประเทศไทยดำเนินการมา
ทั้งนี้ ธนาคาโลกระบุในรายงานติดตามเศรษฐกิจประเทศไทยว่า การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย ในขณะที่การส่งออกคาดว่าจะฟื้นตัวเนื่องจากการค้าโลกที่เอื้ออำนวย แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวก็ตาม
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวของไทยคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดในช่วงกลางปี 2568 ตามการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจากจีน ในขณะที่ธนาคารโลกคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 3.1% ในปี 2568
ธนาคารโลกระบุอีกว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีการวางแผนไว้ของประเทศไทย ซึ่งอาจคิดเป็น 2.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สามารถกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจของไทยได้ในระยะสั้นอีก 0.5 ถึง 1% ในช่วงระยะเวลา 2 ปีในปี 2567 และ 2568 หากรัฐบาลไทยมีการดำเนินการนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ทั้งนี้ การขาดดุลทางการคลังของไทยอาจเพิ่มขึ้นเป็น 4 ถึง 5% ของ GDP ในขณะที่หนี้สาธารณะไทยอาจสูงขึ้นอยู่ที่ 65 ถึง 66% ของ GDP
ธนาคารโลกระบุอีกว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งในประเทศไทยเนื่องจากการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานที่สูง จะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยได้
ที่มา: