‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย แฟนเพจเฟซบุ๊ก วันนี้ (23 กันยายน 2568) ว่า ‘ด้อมส้ม การเมืองเก่ารุ่นไฮบริด’
ผมเชื่อถือคุณอนุทินว่าเป็นคนรักษาคำพูด รัฐบาลอยู่ 4 เดือนก็ 4 เดือน ไม่บิดพริ้ว แต่ 4 เดือน มีเลือกตั้งอีก 2 เดือน รักษาการณ์ กว่า กกต. จะรับรอง จนมีการโหวตนายกฯ ใหม่ก็อีก 2 เดือน เบ็ดเสร็จ 8 เดือน เวลามากมายเพียงพอเหลือเฟือ กับการเตรียมสะสมกำลังพล วางแผนการระยะยาวในการกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไปอีก เพราะเอาแค่ไม่ถึง 3 วัน บรรดา ส.ส. จากพรรครวมไทยสร้างชาติ แตกมา 2 สาย ทั้งสุชาติ และเอกนัฏ พรรคกล้าธรรม ของธรรมนัส แถมด้วยบรรดาสารพัดงูเห่าจากพรรคเพื่อไทย และพรรคอื่นๆ ที่จะตามมาอีกมาก เรียกว่าแทบจะถอดเสื้อพรรคเก่า มาใส่เสื้อพรรคภูมิใจไทย ทำให้เสื้อขาดตลาด ผลิตไม่ทันคนใส่
พรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย จริงๆ เขาดีลกันมาก่อนตั้งแต่คลิปหลุด ส.ว. ส่งศาลรัฐธรรมนูญ สั่งนายกฯ หยุดปฎิบัติหน้าที่ การไปทำ MOA เป็นเพียงพิธีการให้ดูขึงขังจริงจัง แค่ไปชูมือกันระหว่างอนุทินกับเท้งเป็นภาพละครฉากหนึ่งเท่านั้น หากงานนี้ไม่รู้จริง ไม่มีดีลกันมาก่อนแล้ว เรื่องจะกลับหลังหันไม่มีทางเกิดขึ้นได้เพราะเดิมเป็นรัฐบาลกันอยู่ดีๆ กับพรรคเพื่อไทยย่อมปลอดภัยกว่า เรื่องอะไรจะไป หากไม่ชัวร์ 100%
จึงเป็นเหมือน “ไฮโลเปิดถ้วยแทง” จะแทงผิดข้างได้ที่ไหนเล่า! คนไหลมาพรรคภูมิใจไทยเป็นเทน้ำเทท่า ห้ามไม่อยู่ เขาว่ามากันเองทั้งนั้น แล้วผิดเงื่อนไข MOA ยังไง? ทั้ง 5 ข้อ ทำได้แค่ข้อเดียว คือ พรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้าน นี่คือความจริงของการเมือง (เก่า) ที่ทุกคนในวงการเมืองรู้ แต่มีบางคนแกล้งไม่รู้ อยากได้การเมืองใหม่ แต่ใช้วิธีการของการเมืองเก่า ละครการเมืองมันโกหกกันไม่ได้ สักพักพอคนรู้ทันก็สายไปเสียแล้ว
ครั้งนี้หากใครบอกว่านี่คือ “การเมืองใหม่” ที่ พรรคประชาชนต้องการทำ และตัวเกล้ากระผมเป็นพวกคิดแบบ ”การเมืองเก่า“ แล้วล่ะก็ ขอให้อ่านต่อไป เบื้องหลังการเติบโตแบบก้าวกระโดดของพรรคภูมิใจไทย ปฎิเสธไม่ได้ว่าพรรคประชาชนมีส่วนสนับสนุน ที่บอกว่ากลัวอำนาจเก่า ”ลุงตู่“ จะกลับมา จึงเป็นเพียง ”ข้ออ้างบังหน้า” อย่างเท่ห์ๆ ว่าไม่เอาเผด็จการ แต่บรรดาพลพรรค 3 ป. กลับได้เข้าไปสังกัดร่วมกับพรรคภูมิใจไทยเรียบร้อยหมดแล้ว ด้วยอภินันทนาการจากพรรคประชาชนเสียเอง
บรรดาคนรุ่นผมที่ว่าเป็นคนรุ่นเก่า มองการเมืองแบบเก่า คือคนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ เมื่อถูกยุบเป็นพรรคก้าวไกลก็ยังสนับสนุน เมื่อถูกยุบอีกเป็นพรรคประชาชน ก็ไม่เปลี่ยนใจ ยังเป็น ”ด้อมส้ม“ ดั้งเดิมมาแต่ต้น ตาไม่บอดสี
14 ล้านเสียงที่ได้มาในการเลือกตั้งครั้งก่อน มันมีแต่คนรุ่นหนุ่มสาวไปเลือกเสียที่ไหน เพราะคนรุ่นเก่าอย่างพวกผมก็สำเหนียกดีว่า ต้องการ ”การเมืองใหม่” เหมือนกัน อย่าไปกีดกันแบ่งแยกว่าเป็นคนหนุ่มคนแก่ คนอย่างผมจึงสนับสนุน พิธา วิโรจน์ โรม ไปจนถึงน้องไอซ์ น้องลิซ่า และคนอย่างผมนี่แหละที่ไปสนับสนุนพรรคก้าวไกล ชูมือเชียร์ให้จัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง คาดหวังว่าต่อไปนี้การเมืองไทยจะเปลี่ยน แล้วมันเป็นอย่างไร?
ไม่ต้องอธิบายให้ “ด้อมส้มตาบอดสี“ ทราบ ให้เสียเวลา ตราบมาถึงวันที่ ครม. อนุทิน คลอดออกมาด้วยผลผลิตของพรรคประชาชน แค่เห็นหน้าค่าตาขนาดที่ว่า ครม. 4 เดือน ยังเด็ดสะเด่า ลีลาไดโนเสาร์เรียกพี่ มีทั้งคนคุณสมบัติไม่ผ่านส่งลูกเป็นรัฐมนตรีแทน มีทั้งพี่น้องคลานตามกันมาเป็นรัฐมนตรีคู่แฝด แค่พี่ก็หนาวหูแล้ว มาเจอน้องอีก เลยขนลุกทั้งสองหู
มีทั้งตอบแทนบุญคุณที่มาอยู่ด้วยกัน ฉลองชนแก้วไวน์กันหมดไปหลายลัง ขนาดซื้อข้าวสารเลี้ยงกันได้ทั้งอำเภอ มีทั้งนอมินีลูกหลานไปถึงสายพันธุ์บุรีรัมย์เต็มพรืด ยังไม่รวมบรรดาลิ่วล้อ มือเท้าระดับท้องถิ่น เต็มหน้าพรรคภูมิใจไทยจนที่จอดรถไม่พอ ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันโปรดเกล้า ก็เรียกบรรดาข้าราชการที่คุมคดีเข้าบ้าน เอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์ “หากไม่ทำตามก็โดนย้าย” ข้าราชการจึงหนาวถึงกระดูก รีบกลับตัวแทบไม่ทัน ครม. อย่างนี้ เป็น ครม. ยี้ หรือเปล่า ลองพิจารณากันเอาเองก็แล้วกัน มันเป็นการเมืองใหม่ตรงไหนมิทราบ?
สิ่งที่ด้อมส้มรุ่นแก่อย่างผมอยากเห็น คือ ครม. หน้าใหม่สังกัดพรรคประชาชน ที่เข้าไปกุมอำนาจ ควบคุมรัฐบาลจนไปยุบสภา บริหารประเทศแบบการเมืองใหม่อย่างที่พูด หรือกำหนดใน MOA ว่า ครม. 4 เดือน ต้องเป็น ครม. คนนอก เพื่อตัดเส้นทางทำมาหากินของพวกนักการเมืองเก่าที่ชอบย้ายพรรค ไม่มีอุดมการณ์ใดๆ ทำตัวเป็นสนลู่ลม เป็นรัฐบาลขอกุมอำนาจเสวยผลประโยชน์ไปวันๆ ไม่ใช่ไปปั้นให้พรรคภูมิใจไทยเติบโต แล้วตัวเอง (แกล้ง) เล่นบท “ฝ่ายค้านคุณภาพ” ตีฝีปากในสภาขู่ฟอดๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนทำให้เขาเกิดมา
ผมไม่ได้ไปติดใจคุณอนุทินแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าพรรคภูมิใจไทยทำการเมืองทำนองสไตล์แบบนี้มาโดยตลอด ขอเป็นฝั่งรัฐบาลเท่านั้น ไม่ต้องแปลกใจ แต่ที่แปลกใจอย่างยิ่ง คือ ผมต้องเปลี่ยนใจจาก “ด้อมส้ม” แปรสภาพเป็น “ด้อมส้มเน่า” ก็เพราะว่าแต่เขา (การเมืองเก่า) แต่อิเหนาเป็น (การเมืองเก่าแบบไฮบริด) เสียเอง นี่สิ!
การเมืองที่ว่าใหม่ ที่ผมอยากได้ ท้ายสุดมันดันกลายเป็นการเมืองเก่าจนเน่าคามือไปเสียฉิบ