วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2568) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 10 อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรมสอบสวนคดีพิเศษได้จัดการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองประธานกรรมการคดีพิเศษ นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมประชุมในฐานะกรรมการคดีพิเศษ และมี พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุมทั้งหมด 18 คน
การประชุมวันนี้ สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ในวาระเพื่อพิจารณา กรณี ร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 (สำนวนสืบสวนที่ 151/2567) เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547
ซึ่งเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการคดีพิเศษที่จะพิจารณา ซึ่งที่ประชุมได้อภิปรายและมีมติให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษนำเรื่องกลับไปรวบรวมข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและเสนอเรื่องผ่านอนุกรรมการกลั่นกรอง ก่อนเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษอีกครั้งในวันนี้ โดยที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง เสนอความเห็นว่า กรณีนี้พบมูลความผิดทางอาญาฐานอั้งยี่ ซึ่งความผิดอาญาฐานอั้งยี่เป็นความผิดมูลฐานของความผิดอาญาฐานฟอกเงิน โดยคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้มีประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 กำหนดรายละเอียดความผิดไว้ และอยู่ในหน้าที่และอำนาจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่จะพิจารณามีคำสั่งให้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้ แม้คดีอาญามูลฐาน คือ ฐานอั้งยี่ จะเป็นคดีอาญาอื่นที่มิใช่คดีพิเศษ แต่เนื่องจากยังมีประเด็นข้อสงสัยว่าการคิดมูลค่าความเสียหายหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานอั้งยี่นั้นมีมูลค่าตั้งแต่สามร้อยล้านบาทขึ้นไปหรือไม่อย่างไร จึงขอเสนอเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 21 วรรคห้า และขอแก้ไขชื่อเรื่อง เป็น กรณี การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เสนอมาพิจารณา
หลังจากการประชุม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ให้เปลี่ยนชื่อเรื่องตามเสนอ และมีมติชี้ขาดให้ กรณี การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอมา เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ส่วนคดีอาญาใดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับคดีพิเศษดังกล่าว เช่น คดีความผิดฐานอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 รวมทั้งความผิดตามมาตรา 116 และการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการฟอกเงินทางอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 วรรคท้าย ย่อมเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคสอง ที่จะทำการสอบสวนต่อไปได้
โดยไม่ต้องมีมติให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตาม หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) อันอยู่ในหน้าที่และอำนาจของสำนักงาน กกต. ให้แจ้งสำนักงาน กกต. ทราบเพื่อพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจต่อไป