รายงานของหน่วยงานมาตรฐานการใช้ของเฟซบุ๊กระบุว่า ในไตรมาสแรกของปี 2019 เฟซบุ๊กลบบัญชีผู้ใช้ปลอมของเฟซบุ๊กไปแล้วกว่า 2,200 ล้านบัญชี ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2018 ที่มีการลบบัญชีเฟซบุ๊กปลอมไป 1,200 ล้านบัญชี
เฟซบุ๊กระบุว่า ช่วง 6 เดือนหลังของปี 2018 เฟซบุ๊กทำการลบบัญชีปลอมไปกว่า 3,400 ล้านบัญชี และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วได้ทำการลบบัญชีปลอมไปกว่า 1,200 บัญชี และในช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายนปีที่แล้ว ทางเฟซบุ๊กได้บล็อกบัญชีผู้ใช้กว่า 1,500 ล้านบัญชีด้วย ซึ่งปัจจุบันยังคงมีผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กทั้งหมด 2,380 ล้านบัญชี ทั้งนี้เฟซบุ๊กประเมินว่าในแต่ละเดือนมีบัญชีเฟซบุ๊กปลอมที่ยังคงใช้งานอยู่ 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนบัญชีที่ยังมีการใช้งานปัจจบุัน
เฟชบุีกกล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ระบบการตรวจสอบของเฟชบุ๊กสามารถจับการสร้างบัญชีผู้ใช้งานปลอมนี้ได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งบัญชีปลอมเหล่านี้จะถูกตรวจสอบและ 'บล็อก' ไม่ให้มีการใช้งานบัญชีดังกล่าวได้ภายในไม่กี่นาที
มาตรการการตรวจจับบัญชีผู้ใช้งานปลอมของเฟซบุ๊กเข้มงวดขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้าที่เฟซบุ๊กถูกโจมตีว่าเป็นช่องทางในการเผยแพร่ข่าวปลอม การเผยแพร่คำพูดที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) รวมไปถึงการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงในสหรัฐฯ เมียนมา อินเดียและที่อื่นๆ อีกทั่วโลก รวมไปถึงการแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
เฟซบุ๊คยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาระบบตรวจสอบของเฟซบุ๊กได้ลบโพสต์ มากกว่า 7 ล้านโพสต์ รวมไปถึงรูป ข้อความและคลิปต่างๆ ที่ก่อให้่เกิดความรุนแรง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการต่อต้านการ hate speech
ที่ผ่านมามาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ซีอีโอของเฟซบุ๊กเรียกร้องให้รัฐบาลของชาติต่างๆ มีการตรวจสอบเนื้อหาในโลกออนไลน์ ขณะที่เดวิด เคย์ ผู้แทนจากสหประชาชาติกล่าวว่า การใช้ชื่อปลอมนั้นยังมีความจำเป็นในกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและหน่วยงานอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ที่อันตราย