จีนมีรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ประจำวันพุธที่ผ่านมา (23 พ.ย.) อยู่ที่ 31,444 ราย นับเป็นยอดการติดเชื้อที่ทำลายสถิติสูงสุดเดิมเมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยในการระบาดเมื่อเดือน เม.ย. ส่งผลให้เมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศล็อกดาวน์ขั้นรุนแรง ด้วยการขังประชาชนในเมืองกว่า 25 ล้านคนอยู่ในพื้นที่เป็นเวลากว่า 2 เดือน
อย่างไรก็ดี การระบาดในครั้งนี้ยังห่างไกลจะการเกิดการระบาดครั้งใหญ่ โดยมีจุดศูนย์กลางการระบาดอยู่ในเมืองกวางโจวทางตอนใต้ และฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งนี้ มียอดการติดเชื้่อใหม่นับร้อยในหลายเมือง เช่น เฉิงตู จี่หนาน หลานโจว และซีอาน แม้ยอดการติดเชื้อของจีนจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอื่นทั่วโลก แต่ทางการจีนยังคงบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวด เพื่อกดตัวเลขการระบาดต่อไป
อย่างไรก็ดี ในระยะหลัง ทางการจีนเริ่มลดการปูพรมตรวจหาเชื้อแบบที่เคยทำมา ตลอดจนการกักตัวประชาชน อีกทั้งยังพยายามหลีกเลี่ยงการประกาศล็อกดาวน์ใหญ่ อย่างที่เคยบังคับใช้ในเซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ ทางการจีนกำลังเริ่มการใช้มาตรการควบคุมการระบาดระดับท้องถิ่น และทำการล็อกดาวน์เล็กๆ แบบไม่ประกาศล่วงหน้าแทนมาตรการเดิม
การพบยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นในระลอกนี้ของจีน เกิดขึ้นหลังจากการพบไวรัสอุบัติใหม่ที่เมืองอู่ฮั่นเมื่อ 3 ปีก่อน ซ้ำเติมให้นักลงทุนลังเลว่า ทางการจีนอาจจะไม่ยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของตนในเร็วๆ นี้ แต่จะยิ่งทวีคูณการใช้มาตรการรับมือกับการระบาดที่เล็งเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
มาตรการล็อกดาวน์ และการควบคุมการระบาดโควิด-19 อื่นๆ ไม่ได้ถูกบังคับใช้กับแค่ย่านที่อยู่ของประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมีการประกาศใช้ต่อโรงงานต่างๆ รวมถึงโรงงานผลิตไอโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศจีนอีกด้วย ยังมีรายงานการปะทะกันระหว่างพนักงานโรงงาน กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย สืบเนื่องมาจากความไม่พอใจต่อนโยบายการปิดโรงงาน
มีรายงานระบุว่า ถนนเฉาหนางซึ่งเป็นเขตที่คึกครื้นที่สุดของประเทศ มีผู้คนออกมารวมตัวกันเบาบางตาลงอย่างชัดเจน ในขณะที่ย่านซานหลี่ถุน ย่านห้างสรรพสินค้าแบรนด์เนมหรู แทบจะกลายเป็นอาคารร้าง มีเพียงแต่ไรเดอร์ส่งอาหารคอยขับตามถนนเพื่อส่งอาหารให้แก่พนักงานที่ทำงานจากบ้าน
โนมูรา บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์คาดการณ์ว่าปัจจุบันนี้ มีพื้นที่ที่ทางการจีนประกาศล็อกดาวน์คิดเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจของจีน 1 ใน 5 ของ GDP ประเทศ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรทั้งประเทศ โดยโนมูราคาดการณ์ว่า ทางการจีนอาจจะหลีกเลี่ยงการล็อกดาวน์ครั้งใหญ่แบบเดิม และประกาศใช้การล็อกดาวน์บางส่วนในพื้นที่ที่พบตัวเลขการติดเชื้อโควิด-19 พุ่งสูงขึ้นแทน
โนมูรายังลดอัตราการคาดการณ์การเจริญเติบโต GDP ของจีนในไตรมาสที่ 4 ที่ 2.4% เทียบกันกับปีต่อปีที่ 2.8% และลดการคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทั้งปีจากเดิมที่ 2.9% เหลือที่ 2.8% ซึ่งน้อยกว่าเป้าหมายการเจริญเติบโตของ GDP จีน ที่ทางการจีนคาดเอาไว้ว่าจะมีสูงถึง 5.5% ในปีนี้ โนมูรายังคาดอีกว่า การกลับมาเปิดเมืองของจีนอาจจะมีโอกาสที่ถูกชะลอออกไป นอกจากนี้ โนมูราคาดว่า GDP ของจีนในปีหน้าอาจลดลงเหลือแค่ 4.0% จากเดิมที่ตนคาดว่าจีนจะมี GDP เจริญเติบโตอยู่ที่ 4.3%
ภายใต้การนำประเทศของ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีการตั้งคำถามอย่างเป็นวงกว้าง จากการเดินหน้าใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตของประชาชน และกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ปรับตัวเข้าสู่การอยู่รวมกับโควิด-19 กันไปเกือบทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ สีอ้างว่าทางการจีนต้องบังคับใช้มาตรการโควิดเป็นศูนย์ เพื่อการรักษาชีวิตประชาชน และทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศไม่ล้นเกินต่อการรองรับประชาชนที่ป่วย
ทางการจีนตระหนักได้ถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจของประเทศตน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อันยังผลมาจากการใช้มาตรการโควิดเป็นศูนย์ ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีของจีนออกมาประกาศว่า ทางการจีนจะลดเงินสดสำรองในธนาคาร และพยายามหาเครื่องมือทางนโยบายการเงินอื่นๆ เพื่อนำมาบังคับใช้อย่างทันท่วงที เพื่อให้แน่ใจว่าภาคการเงินของจีนและเศรษฐกิจโดยรวมจะเกิดสภาพคล่องที่เพียงพอ โดยสื่อของรัฐบาลจีนรายงานเมื่อวานนี้เป็นนัยว่า ทางการจีนอาจจะมีการปรับลดอัตราส่วนความต้องการเงินสำรอง (RRR) ของประเทศในเร็วๆ นี้
ที่มา: