ดร. นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ได้หารือกับนางรุค ซานา อัฟซอล เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย เพื่อหารือถึงแนวทางกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและปากีสถาน โดยการพบปะครั้งนี้มุ่งเน้นหารือถึงโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการท่องเที่ยว ส่งเสริม Soft Power ไทย พร้อมทั้งขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ตลอดจนหารือแนวทางการฟื้นการเจรจา FTA ไทย – ปากีฯ
ประธานผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยว่า ไทยและปากีสถานยังสามารถขยายการค้าระหว่างกันได้อีกมาก โดยไทยเล็งเห็นว่าปากีสถานเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 240 ล้านคน และมีทรัพยากรที่สามารถเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมไทย เช่น ถ่านหิน ทองแดง แร่เหล็ก อัญมณี และผลิตภัณฑ์ประมง อีกทั้งยังมีจุดแข็งด้าน ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ซึ่งสามารถเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และเอเชียกลาง นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศ จะต้องร่วมมือกัน ในการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการค้า ผ่านการดำเนินนโยบาย ที่อำนวยความสะดวกต่อการดำเนินธุรกิจของ ภาคเอกชน รวมทั้งงดเว้นมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ไทย – ปากีสถาน (PATHFTA) ซึ่งเว้นว่างการเจรจาไปกว่า 5 ปี โดยตนเห็นว่าสามารถใช้เวทีการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถานเพื่อใช้หารือประเด็นดังกล่าว
ดร. นลินี เปิดเยเพิ่มเติมว่า ปากีสถานพร้อมรับการลงทุนจากไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารเนื่องจากปากีสถานมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรแต่ขาดทักษะและอุปกรณ์ในการแปรรูป รวมถึงยังต้องการรับการลงทุนจากไทยในด้านโครงสร้างการท่องเที่ยวอีกด้วย ในขณะที่ ตนได้ผลักดัน Soft Power ไทย โดยเฉพาะอาหารไทย และมวยไทยเข้าสู่ปากีสถานเพิ่มเติม ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือทวิภาคีในทุกกรอบความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็น Political consultation และ Joint Economic Commission เพื่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ตนยินดีที่ทราบว่าในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวปากีฯ กว่า 75,000 คนมาเยือนไทย ซึ่งเป็นการขยายตัวกว่าร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ตนและท่านทูตยังได้หารือถึงการพัฒนาเส้นทางแสวงบุญของพุทธศาสนาในประเทศปากีสถาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจด้านพระพุทธศาสนา เสริมสร้างความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค และกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมสำหรับนักแสวงบุญชาวไทย ตนยังได้ทราบว่าทางฝ่ายปากีสถานจะมีการจัดงานแสดง Buddhist Exhibition ในประเทศไทยในช่วงต้นปี 2569 อีกด้วย
ทั้งนี้ ปากีสถานเป็นตลาดสำคัญของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยมีมูลค่าการค้ารวมระหว่างสองประเทศในปี 2567 กว่า 1,256.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปปากีสถาน ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วน เส้นใยประดิษฐ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และยางพารา ขณะที่สินค้านำเข้าจากปากีสถานที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ สัตว์น้ำ พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช กระดาษ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป