ไม่พบผลการค้นหา
ครม. ปรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนด้านพลังงาน ขยายการช่วยเหลือค่าน้ำมัน ทั้งกลุ่มเบนซินและ แก๊สโซฮออล์ แก่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รวมทั้งลด FT ให้บ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กด้วย

วันที่ 19 เม.ย. 2565 ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียด ในมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงาน อันเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคยุโรป ดังนี้

1. การปรับปรุงถ้อยคำมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยการให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า FT) ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน -จากเดิมที่ให้ส่วนลดแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ปรับเป็นโดยให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ที่มียอดการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน เป็นระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 ซึ่งจะทำให้มาตรการมีความชัดเจนและเป็นการช่วยเหลือแบบมุ่งเป้า

2. มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพในภาคขนส่ง โดยให้ส่วนลดราคาน้ำมัน “กลุ่มเบนซิน” จากเดิมที่ให้ส่วนลดราคา “น้ำมันแก๊สโซฮอล” แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ (รถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง) ที่มีใบอนุญาต ที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 106,655 คน (จากการตรวจสอบข้อมูลกับกรมการขนส่ง ณ วันที่ 22 มีนาคม 65) ในรูปแบบรัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 50 บาท/คน/วัน และไม่เกิน 250 บาท /คน/เดือน ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2565 พร้อมทั้งให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะที่ได้รับเงินจากโครงการบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน โดยภาครัฐจะมีภาระค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 79.992 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ขอบเขตการช่วยเหลือค่าน้ำมันครอบคลุมทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮออล์ และสามารถให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างคล่องตัวด้วย

โดยผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ สามารถกดยืนยันสิทธิ์และเงื่อนไขผ่านแอปพลิเคชัน และจ่ายเงินโดยสแกน QR Code ณ สถานีบริการน้ำมัน ที่เข้าร่วมโครงการ สำหรับสถานีบริการน้ำมันสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการผ่าน แอปพลิเคชันฝั่งผู้ขาย เพื่อสร้าง QR Code เพื่อรับชำระเงินจากผู้ใช้สิทธิ์ด้วย

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมุ่งลดภาระค่าครองชีพของประชาชนจากการปรับขึ้นค่าโดยสารรถจักรยานยนต์สาธารณะ และลดค่าใช้จ่ายโดยการให้ส่วนลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า FT) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและประเภทกิจการขนาดเล็ก ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน


ครม. อนุมัติ 2,054 ล้านบาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ อนุมัติงบประมาณจำนวน 2,054.054 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตร ที่ประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้การสนับสนุนโครงการของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ประกอบด้วย 5 โครงการย่อย ได้แก่

1) โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน โดยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนจำนวน 3,500 กลุ่ม

2) โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน โดยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,200 กลุ่ม

3) โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเกษตรกรรมและสมุนไพร สร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพสู่ชุมชน เพื่อเพิ่มมูลค่าเสริมสร้างความเข้มแข็ง ของเศรษฐกิจฐานรากในภาวะวิกฤตโควิด-19 กลุ่มเป้าหมายได้แก่ เกษตรกร ชุมชน และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 3,700 กลุ่ม

4) โครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้แก่เกษตรกรไทยฝ่าวิกฤติโควิด 19 ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม เกษตรสมัยใหม่ (Modern Agriculture -BCG) โดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ หมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่น จำนวน 5,001 กลุ่ม

5) โครงการวิจัยและพัฒนาการสร้างอาชีพ สร้างรายได้เพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจฐานราก จากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน อสม. กลุ่มสหกรณ์การเกษตร และกลุ่ม OTOP ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ จำนวน จำนวน 3,300 กลุ่ม

พบทุจริตโครงการรัฐ “เราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง เราชนะ” แล้ว 435 คดี 


รัฐบาลเอาผิดคนทุจริตโครงการรัฐ คดีอาญา 435 คดี

รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญากับผู้ทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง และโครงการเราชนะ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ซึ่งเป็นการรายงานการดำเนินคดีอาญาระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2564 - 1 มกราคม 2565 มีคดีรวมทั้งสิ้น 435 คดี แบ่งเป็นโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 323 คดี โครงการคนละครึ่ง 110 คดี และโครงการเราชนะ 2 คดี

ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินคดี มีคดีที่อยู่ระหว่างการสอบสวน 363 คดี สอบสวนเสร็จส่งพนักงานอัยการแล้ว 37 คดี และอื่นๆ 35 คดี เช่น ชดใช้ค่าเสียหายก่อนร้องทุกข์ และถอนคำร้องทุกข์ สำหรับข้อหาของผู้ทุจริตโครงการรัฐส่วนใหญ่เกี่ยวกับร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ฉ้อโกง ฉ้อโกงประชาชน ฉ้อโกงและนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์