จีน ชาติที่ยืนหยัดในการใช้นโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ กำลังเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ใหญ่ที่สุดหลังจากผ่านพ้นวิกฤตช่วงต้นในเดือน มี.ค.2563 มาได้ โดย ในวันที่ 15 มี.ค.2565 พบการติดเชื้อใหม่ต่อวันทั้งสิ้น 5,100 คน
จากจำนวนดังกล่าว เคสใหม่มากกว่า 4,000 คนเกิดขึ้นในมณฑลจี๋หลินซึ่งที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดพรมแดนเกาหลีเหนือ หลังเกิดคลัสเตอร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยเกิดความไม่พอใจอย่างมากในสัปดาห์ที่ผ่านมาเมื่อนักเรียนจำนวนมากที่ถูกสั่งกักตัวในรั้วมหาวิทยาลัยโพสต์วิจารณ์ลงในโซเชียลมีเดียจีน ชี้ว่าถูก ‘ห้ามเข้าห้องน้ำ’ และ ‘ห้ามดื่มน้ำ’
ตัวเลขดังกล่าวอาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับการระบาดในต่างประเทศทั่วโลก และยิ่งน้อยลงไปอีกเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรราว 1,400 ล้านคนในจีน แต่นี่คือการเพิ่มขึ้นของการระบาดใหม่ต่อวันราว 1,275 เท่า เมื่อเทียบกับวันที่ 16 มี.ค.2564 หรือ 1 ปีก่อนหน้า เพราะจีนพบผู้ติดเชื้อใหม่เพียง 4 คนเท่านั้น
การระบาดระลอกนี้กำลังเกิดขึ้นใน 21 มณฑลและนครใหญ่ของจีน หนึ่งในนั้นคือกรุงปักกิ่งที่มีประชากรราว 21.5 ล้านคน เซี่ยงไฮ้ราว 26.3 ล้านคน และเซินเจิ้นราว 12.5 ล้านคน ส่งผลให้รัฐบาลจีนสั่งล็อกดาวน์อย่างน้อย 5 พื้นที่ซึ่งทำให้ประชาชนมากกว่า 37 ล้านคนต้องตกอยู่ในสภาพของการล็อกดาวน์เข้มงวดอีกครั้ง
ผู้คนในเมืองฉางชุน จี๋หลินซิตี้ ตงกว่าง และเซินเจิ้น ถูกสั่งห้ามออกนอก ‘เขตชุมชน’ ยกเว้นผู้ประกอบอาชีพสำคัญจำเป็น พวกเขาสามารถส่งตัวแทนครอบครัวละ 1 คนออกไปซื้อข้าวของจำเป็นได้ทุกๆ 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม เมืองหลางฟางในมณฑลเหอเป่ย สั่งห้ามประชาชนออกจาก ‘บ้าน’ โดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
ทั้งนี้ การระบาดในจีนปัจจุบันคือการระบาดของโอไมครอน ซึ่งกินสัดส่วนการระบาด 80% ของทั้งประเทศ โดยพบทั้งการระบาดของโอไมครอน BA.1 และ BA.2 ตัวกลายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้เร็วขึ้น 30%