ไม่พบผลการค้นหา
นรวิชญ์ “ย้อนศร” พรรคภูมิใจไทย “ส่อ” ฟ้องเท็จ อาจถูกยุบพรรค ! กรณีรู้เห็นเป็นใจให้ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ยื่นฟ้องเท็จ 'เศรษฐา'

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 นรวิชญ์ หล้าแหล่ง ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ ศุภชัย ใจสมุทร ในฐานะนายทะเบียนของพรรคภูมิใจไทยออกมาแถลงข่าวว่า ผู้สมัคร ส.ส. พรรคภูมิใจไทยได้มีการฟ้อง นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กรณีปราศรัยที่จังหวัดนครพนม นั้น

นรวิชญ์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆที่นำเสนอต่อพี่น้องประชาชนในการหาเสียงเลือกตั้งนั้น อยู่ในวิสัยที่ประชาชนคนทั่วไปสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้โดยสุจริต และสามารถแสดงความคิดเห็น ทั้งเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์และการแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนั้น ไม่เข้าข่ายการกระทำผิดต่อกฎหมายใดๆอยู่แล้ว

ทั้งนี้ การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายกัญชาเสรี นั้น ได้มีคำวินิจฉัยของศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ พ.1650/2566 ระหว่าง พรรคภูมิใจไทย กับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ว่า “…การกล่าวหรือแสดงความคิดเห็นของจำเลยในเรื่องของกัญชา ทำให้ประชาชนได้รับทราบถึงประโยชน์และโทษของกัญชา จึงถือได้ว่าเป็นประโยชน์แก่สุขภาพของประชาชนเป็นส่วนมาก…”

ฉะนั้น การที่ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ได้แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต “ไม่เห็นด้วยกับนโยบายกัญชาเสรี” แต่ “เห็นด้วยในนโยบายกัญชาเพื่อการแพทย์” จึงเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต และเป็นการให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชน และยังเป็นการแสดงจุดยืนของ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะแคนดิเตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ว่า “หากได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะไม่มีนโยบายกัญชาเสรีอย่างแน่นอน จะมีแต่เพียงนโยบายกัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น” ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ถือว่าเป็นการใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทย จึงไม่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5)

​ส่วนกรณีที่ว่า “...หากเลือกพรรคภูมิใจไทยจะได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯอีกรอบ...” นั้น

นรวิชญ์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐและได้สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ก่อนเลือกตั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศว่า “...ไม่ยอมรับ ให้คน 250 คน ที่ไม่ได้มาจากพี่น้องประชาชนมาเลือกนายกรัฐมนตรีของพวกผม…” แต่ท้ายที่สุด ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กลับโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ตามคลิป Yes or No ของ TheStandardNews ในการตอบคำถาม Yes หรือ No ในประเด็นคำถามว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่อง ส.ว. เลือกนายก” นายอนุทิน ก็ได้ตอบว่า “NO” นั่นหมายความว่า อนุทิน ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะให้ตัดอำนาจ ส.ว. 250 คนในการเลือกนายกรัฐมนตรีออก และนอกจากนี้ ยังตอบคำถามเกี่ยวกับ “คุณประยุทธ” ว่า “GOOD” จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ เศรษฐา ทวีสิน จะเข้าใจ และเชื่อโดยสุจริตว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยก็ยังคงสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี 

ดังนั้น กรณีการปราศรัยของ เศรษฐา ทวีสิน ที่จังหวัดนครพนม ที่มาจากความเชื่อโดยสุจริต  ไม่เป็นการใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทย จึงไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5) แต่อย่างใด

นรวิชญ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า การที่ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับ เศรษฐา ทวีสิน นั้น จะ “ส่อ” เป็น “ฟ้องเท็จ” อาจเข้าข่ายเป็นการใส่ร้าย เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย อันอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5) เสียเอง อีกทั้งการที่พรรคภูมิใจไทย รับรู้ รับทราบ ถึงการที่ผู้สมัคร ส.ส. ในพรรคของตนไปฟ้อง เศรษฐา ทวีสิน แล้ว แต่ยังกลับปล่อยปละละเลย ไม่ห้ามปราม อาจถือได้ว่า พรรคภูมิใจไม่ควบคุมสมาชิกพรรคให้ดำเนินการด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม ซึ่งอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 101 ที่อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และให้เพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคได้

“จึงขอให้พรรคภูมิใจไทยรีบสั่งการให้ ผู้สมัคร ส.ส. พรรคของตน ถอนฟ้องคดีนายเศรษฐาเสียโดยเร็ว” นรวิชญ์กล่าว