ที่กรมราชทัณฑ์ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแถลง "อัพเดต สถานการณ์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเรือนจำ" สมศักดิ์ ระบุถึงผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศติดเชื้อโควิด-19 เท่าที่รวบรวมได้ล่าสุดรวม 10,384 ราย โดยตนได้สั่งการให้ทำงานเชิงรุกพร้อมออก 10 มาตรการให้กรมราชทัณฑ์ปฏิบัติ ประกอบด้วย
1.รายงานจำนวนผู้ต้องขังที่ได้ตรวจเชิงรุกไปแล้ว 100%
2.ตรวจเชิงรุกบุคลากรทุกคนเริ่มในส่วนกรุงเทพฯและปริมณฑลก่อน มีบุคลากร 55,198 คน
3.การสืบข้อเท็จจริงหรือสอบสวนโรคไม่ว่าแน่ชัดแล้วหรือยังไม่แน่ชัดก็ตาม ต้องรายงาน
4.บุคลากรทุกคนต้องทำงานโดยไม่มีวันหยุด
5.ได้ประสานกับกระทรวงสาธารณสุข เรื่องฟาวิพิราเวียร์ หรือยาต้านไวรัสสำหรับผู้ต้องขังที่ติดเชื้อ เพื่อหาวิธีการรักษาที่เร็วและได้ผลดีที่สุด รวมทั้งการใช้สมุนไพรเข้าช่วยเหลือในการรักษาในขณะที่รอดูอาการ โดยเฉพาะในระดับสีเขียวที่ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการและสีเหลืองที่เริ่มมีอาการ
6.ตระหนักว่าผู้ต้องขังเป็นคนไทยที่ต้องอยู่ในเรือนจำ ขณะที่เรือนจำมีความแออัดจึงเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหา
7. จากข้อ 6 นั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรในเรือนจำและผู้ต้องขังทุกคน เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าการรักษาอย่างมาก
สมศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วยว่า ต้องมีค่าใช่จ่ายใช้ 5,000 บาทต่อคนในการรักษาด้วย ฟาวิพิราเวียร์ จากจำนวนผู้ติดเชื้อ 10,000 คนเป็นใช้ค่าใช้จ่ายถึง 50 ล้านบาท แต่ถ้าซื้อวัคซีน หากเป็น astrazeneca คือ 2 โดส 300 บาท จะเสียค่าใช้จ่ายเพียง 5 ล้านเท่านั้น หรือหากเป็นยี่ห้ออื่นที่ราคาสูงกว่านี้ก็คุ้มค่ากว่าการรักษา แล้วทนได้ประสานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้วและหวังว่าจะเข้าใจเหตุผลและความจำเป็นนี้
8.ทำข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อแจ้งเป็นระยะอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์และจะต้องปรับตัวเลขทุกวัน ปิดประกาศหน้าเรือนจำ เพื่อให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริง
9.ผู้บัญชาการเรือนจำทุกแห่ง ต้องจัดทำรายชื่อผู้ติดเชื้อและปรับปรุงเป็นรายวัน เพื่อให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสามารถเข้าตรวจสอบได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่ 08.00 -18.00 น.
10.กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะรีบวางแผนรองรับการระบาดครั้งนี้และรอบหน้าหากจะเกิดขึ้นอีก โดยเร่งด่วนประชุมพิจารณาเพิ่มบุคลากรที่จำเป็น และอุปกรณ์ทางการแพทย์ตลอดจนพื้นที่รองรับและรักษาผู้ต้องขัง
สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของการรับโทษในรูปแบบพิเศษ หากยังไม่สามารถชะลอและหยุดยั้งการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะการพักโทษและใช้กำไล EM ในส่วนของการแก้ไขประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการปรับลดอัตราโทษให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ที่จะทำให้ลดจำนวนผู้ต้องขังได้ 50,000 คน อยู่ในขั้นตอนรัฐสภา เชื่อว่าต้นเดือนมิถุนายนจะเข้าสู่การพิจารณา
สมศักดิ์ ย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องฉีดวัคซีนให้บุคลากรของกรมราชทัณฑ์และผู้ต้องขังในเรือนจำว่า "มันถูกกว่าเยอะแยะเลย แล้วก็ไม่เหนื่อยด้วย ผู้ต้องขังเขาอยู่ในเรือนจำในโซนบังคับอยู่แล้ว ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้เขาทนทุกข์ทรมานมากไปกว่าที่เขาเผชิญอยู่ "
"ตนจึงยืนยันอย่างนี้ว่า จะไปขอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้ปล่อยผ่านตรงนี้ พร้อมอยากวิงวอนประชาชนด้วยว่า หากให้วัคซีนผู้ต้องขังก่อน อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะผู้ต้องขังไม่มีอิสรภาพที่จะสื่อสารหรือไปไหนมาไหน เหมือนยืนอยู่กับที่ เป็นกระสอบทรายให้โควิด เล่นงานอยู่"