วันนี้ (24 มิถุนายน 2568) นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีจากสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ได้เกิดขึ้นโดยรอบไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศอิหร่านและประเทศอิสราเอล ที่ได้ส่งผลกระทบขยายเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม อีกทั้ง ด้วยท่าทีและกรอบระยะเวลาที่เกิดขึ้นมีความไม่แน่นอนว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ซึ่งสิ่งนี้ได้ส่งผลต่อการเจรจาของหลายประเทศ ต่อนโยบาย Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ อีกด้วย โดยกรอบระยะเวลาในช่วงแรกตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ได้กำหนดกรอบเวลาเป็นจำนวน 90 วัน ซึ่งฝ่ายไทยได้มีการเริ่มการเจรจาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 1 รอบ ร่วมกับคณะทำงานของ USTR แต่อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก รวมถึงประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปริมาณราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคม การท่องเที่ยว ที่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของประชาชน อีกทั้งสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนไทย – กัมพูชา โดยได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีทุกคนร่วมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมหามาตรการรองรับเพื่อให้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด โดยยืนยันว่า สถานการณ์ที่กำลังขึ้นเวลานี้เสถียรภาพของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ซึ่งความสามัคคีของคนภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้รัฐมนตรีทำงานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจ ต่อการแก้ไขปัญหา โดยข้อสำคัญที่รัฐบาลได้เน้นย้ำประกอบด้วย
1. ภัยคุกคามของความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ (Nation Crime) จากที่ UNODC ได้รายงานเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ได้มีการสั่งการให้ทุกฝ่ายร่วมทำงานด้วยกันอย่างบูรณาการ พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายตอบโต้ การเปิด – ปิดด่านชายแดนเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน และประเทศชาติเป็นสิ่งสำคัญ โดยได้มีการเตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนบริเวณที่อาศัยอยู่พื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตร โดยได้มีการสั่งการให้ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการหาแนวทางเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการร่วมกับภาคเอกชนอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นการเน้นย้ำในเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อเป็นการเน้นย้ำเพื่อไม่ต้องการให้พี่น้องประชาชนในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบ
2. ในด้านของความมั่นคงและพลังงาน ทางด้านกระทรวงพลังงานได้มีการกำหนดมาตรการรับมือสำหรับพลังงานสำรอง และมาตรการในรองรับช่วยเหลือประชาชนหากเกิดกรณีมีการขาดแคลน หรือหากมีการปรับตัวของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
3. ปัญหาด้านเศรษฐกิจการเงินและการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน โดยให้ทางด้านกระทรวงการคลังได้กำหนดมาตรการ และเป้าหมายที่ชัดเจนในการช่วยเหลือประชาชน ภาคธุรกิจในทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้าของประเทศ
4. เรื่องราคาพืชผล ได้มีการมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการหามาตรการในการแก้ไขปัญหา อย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของราคาข้าวที่ต้องมีการเร่งสนับสนุน สรุปมาตรการเยียวยาแก่เกษตรกรให้ดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ยังได้มีการสั่งการให้มีการเร่งตรวจสอบ ในเรื่องของการลักลอบนำเข้าสินค้าเถื่อน ผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านที่จะส่งผลกระทบต่อราคา พืชผลและสินค้าเกษตรในประเทศไทยได้รับผลกระทบราคาตกต่ำ
5. ปัญหาด้านยาเสพติด ได้มีการสั่งการให้กระทรวงกลาโหม ดำเนินการบูรณาการทำงานระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บัญชาการตำรวจทุกจังหวัด กำหนดมาตรการที่เป็นรูปธรรมโดยเน้นย้ำให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน และขยายผลมากยิ่งขึ้นจากมาตรการ “Seal Stop Safe”
6. ปัญหาด้านการท่องเที่ยว ได้มีการสั่งการให้ทางด้านกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการปรับมาตรการ กระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้เน้นย้ำในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
“เรื่องปัญหาค่าแรงขั้นต่ำ ได้มีการสั่งการให้กระทรวงแรงงาน เร่งนำมาตรการมาตรการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยจะมีการพิจารณาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันต่อการขึ้นค่าแรงในช่วงเดือนกรกฎาคม 68 นี้” นายกรัฐมนตรี ระบุ