นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัทเชฟรอนของสหรัฐฯ ระงับการฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการกรณีข้อพิพาทเรื่องค่าใช้จ่ายรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณในอ่าวไทย ว่า เรื่องนี้นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อกระบวนการทำงานร่วมกัน ระหว่างกระทรวงพลังงานและผู้รับสัมปทานคือบริษัทเชฟรอน ซึ่งสัญญาสัมปทานจะหมดอายุลงในปี 2565 ดังนั้น การเริ่มต้นเจรจาหาทางออกร่วมกัน ทั้งด้านกฎหมายและแผนดำเนินการรื้อถอนอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อส่งมอบพื้นที่ จึงนับเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
"ปัญหาข้อพิพาทการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียม เป็นประเด็นสำคัญตั้งแต่ผมเข้ามารับตำแหน่ง รมว.พลังงาน ก็ได้พยายามหาทางออกอย่างต่อเนื่อง แม้เป็นเรื่องที่ยาก แต่ผมรับฟังแนวทางจากทุกฝ่าย ทั้งข้อดีข้อเสีย และเงื่อนไขทางกฎหมายอย่างรอบด้าน ดังนั้นการที่บริษัทเชฟรอนสหรัฐฯ ประกาศว่าจะชะลอการฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการออกไปก่อน เพื่อนำไปสู่การเจรจา จึงถือเป็นเรื่องน่ายินดีและผมเชื่อว่าเราจะได้ข้อตกลงที่ดีที่สุด โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก" นายสนธิรัตน์
สำหรับระยะเวลาในการเจรจากับทางบริษัทเชฟรอนนั้น ขณะนี้ได้มอบให้ นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นหัวหน้าคณะทำงานร่วมกับอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เร่งหาทางออกโดยเร็วเพื่อให้ขั้นตอนการส่งมอบพื้นที่และแท่นปิโตรเลียมเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ไม่เกิดภาวะสุญญากาศ จนส่งผลกระทบต่อปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติหรือความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานข่าวระบุว่า เชฟรอนตัดสินใจใช้การเจรจากับรัฐบาลไทยมากกว่าจะใช้การฟ้องร้องในอนุญาโตตุลาการ เพื่อแก้ปัญหาข้อขัดแย้งกรณีใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนปิโตรเลียม ซึ่งตามการคาดการณ์ของสื่อในประเทศไทยระบุว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เชฟรอนต้องจ่ายเพื่อการรื้อถอนจะอยู่ที่ราว 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 75,000 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :