วันที่ 1 เมษายน 2566 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยใหญ่และแนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ที่สวนชมน่าน จ.พิษณุโลก
ธนาธร เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง ‘หมออ๋อง’ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล โดยระบุว่าหมออ๋องเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ตนภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ทำงานด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ด้วยความกล้าหาญ สู้กับความไม่เป็นธรรมอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งนี่ทำให้ชัยชนะของหมออ๋องมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการเมืองแบบนี้ ที่ไม่ใช่เงินซื้อเสียง ซื้อหัวคะแนน ยั่งยืนเป็นจริงได้หรือไม่ และถ้าหมออ๋องพ่ายแพ้อาจจะไม่มีใครกล้าสร้างการเมืองแบบตรงไปตรงมาแบบนี้อีก ดังนั้น เพื่อรักษาการยืนระยะ สร้างการเมืองใหม่แบบนี้ได้ หมออ๋องต้องป้องกันแชมป์ให้ได้ และชะตากรรมของการเมืองแบบใหม่นี้ อยู่ในมือของชาวพิษณุโลกเขต 1 ทุกคน
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่มาจนเป็นพรรคก้าวไกล ตนและเพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมกันมามีความฝันและภาพประเทศไทยที่เราอยากอาศัยอยู่ และอยากส่งต่อให้ลูกหลานได้เติบโตขึ้นมาแบบหนึ่งร่วมกัน อย่างเช่น ส.ส. ที่ต่อสู้เรื่องค่าไฟแทนประชาชน อภิปรายในสภาอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าบอกว่าที่นายทุนรวยเป็นแสนล้านเพราะนโยบายค่าไฟที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุน บอกรัฐบาลว่าต้องแก้ไขนโยบายตรงนี้ ถูกกลุ่มทุนพลังงานฟ้อง 100 ล้านบาท เธอก็ยังไม่หวั่นไหวเกรงกลัว นี่คือความฝันของเราที่อยากเห็นประเทศไทยที่มีความเป็นธรรม ทุกคนมีโอกาสทำมาหากิน ไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนบางกลุ่ม
ภาพที่เราอยากเห็น คือรัฐสวัสดิการ ที่จะมาตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ที่มีเกษตรกรหลายคนเป็นหนี้ ธ.ก.ส. ที่ทำงานทั้งชีวิตจนวันตายก็อาจจะยังใช้หนี้ไม่หมด แล้วยังต้องตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นอีก บางคนก็ต้องเป็นหนี้ กยศ. พอเรียนจบเริ่มต้นชีวิตก็ติดลบไปแล้ว สำหรับคนหนุ่มยังต้องมาเจอกับการเกณฑ์ทหาร เอาวัยที่สุกสกาวในชีวิตไปรับใช้บ้านนายพล นี่คือชีวิตของคนจน เราจึงต้องการสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมา นี่คือสังคมที่เราอยากเห็น ที่ดูแลคนตั้งแต่เกิดจนตาย ยืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าสังคมที่พรรคก้าวไกลอยากเห็นคือสังคมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างเช่นในการเดินทาง ด้วยการมีรถเมล์สาธารณะทั่วประเทศ ทุกวันนี้คนต่างจังหวัดที่ไม่มีรถต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก ไม่มีขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพ พรรคก้าวไกลอยากเห็นทุกคนใช้ชีวิตประจำวัน ไปจ่ายตลาด ไปเรียนหนังสือ ไปโรงพยาบาล มีรถเมล์ไฟฟ้าใช้อย่างแพร่หลาย ให้มีการขนส่งสาธารณะที่ดี ไปไหนไกลๆ ก็ค่อยใช้รถยนต์ แล้วเอาความต้องการรถเมล์นั้นมาสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ ไม่ใช่ซื้อรถเมล์จากจีน จ้างคนจีนทำงานอีกต่อไป
เรามีสังคมที่ปรารถนา อยากเห็นร่วมกันในอีก 20 ปีข้างหน้าที่ต่างจากสังคมปัจจุบัน นี่คือนโยบายของพวกเรา แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ไม่ง่าย เป็นการเดินทางที่ยาวนาน ต้องใช้ความพยายามแน่วแน่ทางการเมืองอีกมาก และเราต้องการพลังใหม่ๆ เข้าไปขับเคลื่อน ไม่อยู่ในระบบอุปถัมภ์แบบเดิม ๆ ที่ไม่กล้าไปแตะต้องโครงสร้างแบบเดิม ๆ และต้องกล้าทะเยอทะยาน ทุกวันนี้ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน มาเลเซีย วิ่งหนีเราไปแล้ว เวียดนาม อินโดนีเซีย กำลังจี้ท้ายเรามาติดๆ
ดังนั้น จะพาประเทศไทยไปข้างหน้าได้ ต้องกล้าทะเยอทะยาน ทำในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นเรื่องสุดโต่ง เช่น การกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นความปกติของโลกที่พัฒนาแล้ว ไม่ใช่เรื่องสุดโต่งแต่อย่างใด ถ้าไม่กล้าทะเยอทะยานตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าเราก็ต้องอยู่แบบนี้กันต่อไป นั่นคือที่มาของคำขวัญ กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าการจะเดินทางไปถึงจุดนั้นได้ ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีก นั่นคือการขยายความคิด ต่อสู้ทางความคิด ในเส้นทางการเมืองแบบอนาคตใหม่-ก้าวไกล ทำให้คนเห็นถึงอนาคตแบบที่เราอยากสร้าง ที่เป็นประชาธิปไตย เท่าเทียม ไม่มีการทุจริต ไม่มีเส้นสาย ลูกหลานมีงานที่มั่งคงทำ
แต่จะชนะทางความคิดเช่นนี้ได้ พรรคก้าวไกลต้องการทุกคน ประเทศไทยมีคน 66 ล้านคน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 40 กว่าล้านคน เราไม่สามารถไปพบหน้าอธิบายให้ทุกคนฟังได้หมด แล้วยังมีความพยายามปล่อยข่าวปลอมออกมาทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคก้าวไกล มีขบวนการไอโอที่ทำอย่างเป็นระบบ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องขอแรงทุกคนร่วมต่อสู้ไปกับพรรคก้าวไกลด้วยกัน ในการขยายความคิดไปสู่คนให้มากที่สุดให้ได้
“อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง โอบรับมัน พร้อมเผชิญหน้ากับโลกและความท้าทายใหม่ๆ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ไม่ดีขึ้นแน่ ๆ โอบรับมัน ผมฝากทุกคนเป็นปากเสียงให้เราด้วย เอาความตั้งใจปรารถนาดีของพวกเราไปบอกเพื่อนข้างบ้านให้หน่อย เอาสังคมที่เราวาดฝันไปบอกเพื่อนที่ทำงานให้หน่อย เอาความมุ่งมั่นตั้งใจของเราไปบอกต่อแม่ค้าในตลาดให้หน่อย นี่เท่านั้นที่จะทำให้สังคมที่เราอยากเห็นเป็นจริงได้ ประเทศไทยในอนาคตจะเดินหน้าไปแบบไหน โอกาสในการพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอยู่ในมือของทุกคน” ธนาธรกล่าว