อัยการจังหวัดพระโขนง เตรียมสั่งฟ้อง 3 แกนนำราษฎร กรณีร่วมชุมนุมและปราศรัย ในการชุมนุมแยกอุดมสุข #ม็อบ1พฤศจิกายน ประกอบด้วย (1) นันทพงศ์ ปานมาศ แกนนำเครือข่ายรามคำแหงเพื่อ ประชาธิปไตย, (2) สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย, (3) ชูเกียรติ แสงวงค์ หรือ "จัสติน ไทยแลนด์"
ซึ่งวันนี้ นันทพงศ์และจัสติน ไทยแลนด์' เดินทางมาที่อัยการโดยมีทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าให้ความช่วยเหลือทางคดี ขณะที่ 'จ่านิว' ติดภารกิจที่ต่างประเทศ ไม่ได้เดินทางมาเพื่อฟังคำสั่งฟ้อง จึงต้องดูว่า อัยการจะเลื่อนการสั่งฟ้องคดีนี้หรือแยกสั่งฟ้อง 2 คนที่มาพบอัยการในวันนี้ก่อน
โดยอัยการตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุม ,ตามกฎหมายจราจรเกี่ยวกับการขัดขวางการจราจร, ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาด covid และกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการใช้เครื่องขยายเสียง โดยไม่ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือยุยงปลุกปั่นแต่อย่างใดสำหรับคดีจากกรณีชุมนุม #ม็อบ1พฤศจิกา พนักงานอัยการได้แยกสำนวนในส่วนของผู้เป็นแกนนำจัดชุมนุม กับสำนวนในส่วนของผู้ร่วมชุมนุมหรือปราศรัยออกจากกัน วันนี้เป็นส่วนของผู้ปราศรัยเท่านั้น
นันทพงศ์ ยืนยันว่า เนื้อหาการปราศรัยม็อบ 1 พฤศจิกา ของพวกตนทั้ง 3 คน เป็นการย้ำ 3 ข้อเรียกร้องราษฎร และหากถูกสั่งฟ้องวันนี้ ก็เตรียมการยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีไว้แล้ว ทั้งการยื่นแบบไม่มีหลักทรัพย์ พร้อมอธิบายเหตุผลประกอบ ทั้งการมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง การจะไม่ยุ่งเหยิงพยานหลักฐานและการไม่คิดหลบหนี และได้เตรียมหลักทรัพย์มาเพื่อยื่นประกันตัวไว้อีกขั้นหนึ่งด้วย หากศาลไม่อนุญาตในชั้นแรกด้วย แต่เชื่อว่าข้อหาที่อัยการสั่งฟ้องพวกตนเป็นข้อหาทั่วไป จึงน่าจะได้รับความเมตตาจากศาลในการให้สิทธิ์ประกันตัว
นันทพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ 8 แกนนำ กปปส.ศาลชั้นต้นอาญาตัดสินจำคุกและไม่ได้สิทธิ์ประกันตัวต้องถูกคุมขังในเรือนจำขณะนี้ว่า แม้เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กลุ่มกปปส. ทำซึ่งผิดกฎหมายแน่นอนและยังเป็นการปูทางเพื่อการรัฐประหารด้วย แต่ก็ต้องยืนยันหลักกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ที่หากยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลว่าผิดจริง ผู้ต้องหาทุกคนควรได้สิทธิในการประกันตัว ไม่ว่าจะเป็นฝ่าย กปปส.หรือ แกนนำราษฎรทั้ง 4 คน ส่วนคำถามที่ว่าการไม่ให้สิทธิ์ประกันตัวหรือให้แกนนำทั้งสองฝ่ายติดคุก ถือว่ายุติธรรมหรือเท่าเทียมทั้งสองฝ่ายนั้น
นันทพงศ์ มองว่า การให้ประกันตัวทั้งสองฝ่ายจึงจะเรียกว่ายุติธรรมและและถูกต้องตามหลักการ ซึ่งหากศาลจะอำนวยความยุติธรรมให้แกนนำ กปปส.ที่ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกแล้ว ก็ควรให้สิทธิประกันตัวแก่ 4 แกนนำราษฎรที่คดีพึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาและศาลยังไม่มีคำตัดสิน แต่ตอนยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายควรได้รับการประกันตัวและเห็นว่าไม่ควรมีใครที่ออกมาต่อสู้ทางการเมืองต้องติดคุก โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุดจากศาล