องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จัดเสวนา "ปราบโกงต้องแรงและเร็ว ถอดบทเรียนจากมาเลเซีย" โดยนายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า ภาคประชาชนมาเลเซีย ลงขันระดมทุนเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันในยุครัฐบาลนายนาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรี และคนส่วนใหญ่ต้องการโค่นอำนาจรัฐบาลเก่าอยู่แล้ว ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เกิดการพลิกขั้วอำนาจ ซึ่งนายมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรี ที่จับมือกับนายอันวา อิบราฮิม อดีตผู้นำฝ่ายค้านที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดมา ชนะการเลือกตั้งในที่สุด ตามมาด้วยการตั้งข้อหาคอร์รัปชั่น นายนาจิบ โดย ป.ป.ช.ของมาเลเซีย ที่ถูกกดทับมากว่า 9 ปี โดยทุกอย่างสะท้อนว่า สังคมมาเลเซียต้องการผู้นำทางการเมืองใหม่ ให้มาจัดการปัญหาคอร์รัปชัน
ขณะที่ นายเจษฎ์ โทณะวณิก กรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เชื่อว่า ป.ป.ช.มาเลเซีย รวบรวมหลักฐานเอาผิดนายนาจิบ มานานแล้ว ก่อนประสบความสำเร็จหลังเปลี่ยนขั้วการเมือง อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนขั้วอำนาจจะไม่ช่วยให้เอาผิดรัฐบาลเก่าที่ทุจริตได้ หาก ป.ป.ช.ไม่มีคุณธรรมหรือเป็นพวกเดียวกันกับขั้วอำนาจเก่า ดังนั้น กรรมการ ป.ป.ช.จึงต้องมีคุณธรรมที่ประจักษ์ชัด แม้เอาผิดผู้มีอำนาจยังไม่ได้ แต่สามารถดำเนินการหลังคนทุจริตหมดอำนาจไปแล้วได้ อย่างที่ ป.ป.ช.มาเลเซียพิสูจน์ให้เห็น
ด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกอัยการสูงสุด ระบุว่า ป.ป.ช.มาเลเซีย เคยปกป้องและแก้ต่างให้นายราจิบ แต่พอนายราจิบ หมดอำนาจ ก็ตรวจสอบต่อและเอาผิดนายราจิบ จึงเห็นได้ว่า ผู้มีอำนาจมักจะแทรกแซงองค์กรตรวจสอบทุจริต ขณะที่กฎหมายก็เป็นเพียงตัวหนังสือแต่ชี้ขาดที่ผู้ปฏิบัติ จึงต้องสร้างวัฒนธรรมคนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านการทุจริต ซึ่งโลกโซเชียลเป็นประโยชน์ ช่วยเปิดโปงและทำให้กฎหมายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย อีกทั้ง กฎหมาย ป.ป.ช.ที่ให้สืบพยานหลับหลังจำเลยได้ เป็นเรื่องดี ทำให้มีความรวดเร็วในการดำเนินคดี และเห็นว่าคดีทุจริตไม่ควรมีอายุความ
นายนิติพันธ์ ประจวบเหมาะ ผอ.สำนักงานการต่างประเทศ สำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวว่า ป.ป.ช.หรือ MACC ของมาเลเซีย ได้งบประมาณราว 1,800 ล้านบาทต่อปีสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก มีอำนาจสูงมากในการแก้ไขปัญหาทุจริต ที่ถือว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด เพราะกระทบกับประชาชนทุกคน โดยในหลายประเทศรวมถึงมาเลเซียให้อำนาจกระทั่งดักฟังโทรศัพท์ หรือติดตั้งเครื่องดักฟังผู้ต้องสงสัยด้วย
ส่วนนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น ชี้ว่า 4 ปีที่ผ่านมา ไทยมีความคืบหน้าด้านการปราบปรามคอร์รัปชั่น ที่สามารถนำคนผิดระดับรัฐมนตรีมาลงโทษได้ มีการตั้งศาลทุจริต ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช.ฉบับใหม่ออกมา ทำให้องค์กรนี้เป็น "ยักษ์ที่มีกระบอง" ไม่ใช่มีแต่ไม้จิ้มฟันอย่างที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าจะช่วยในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพขึ้น