ไม่พบผลการค้นหา
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นัดสถาบันการเงิน 36 แห่ง เข้าหารือมาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์บัตรประชาชนผู้อื่นไปเปิดบัญชีธนาคารของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากกรณีนางสาวณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ พนักงานบริษัทเอกชน ถูกขโมยบัตรประจำตัวประชาชน ไปเปิดบัญชีกับสถาบันการเงิน 7 แห่งรวม 9 บัญชี และกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเงินผู้เสียหาย และท้ายที่สุดถูกจำคุกนาน 2 คืนนั้น 

วันนี้ (12 ม.ค. 60) เวลา 14.30 น. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือปปง. เชิญตัวแทนสถาบันการเงิน 36 แห่งเข้าร่วมประชุม เพื่อหารือถึงมาตรการป้องกันการสวมสิทธิ์บัตรประชาชนผู้อื่นเปิดบัญชีของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสอบถามถึงกรณีดังกล่าวเพิ่มเติม 

ซึ่งเบื้องต้น มีมาตรการกำหนดให้ทุกสถาบันการเงิน ต้องตรวจสอบรายละเอียดลูกค้าอย่างละเอียดอยู่แล้ว หากละเลย มีบทลงโทษคือปรับบัญชีละ 1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท จนกว่าสถาบันการเงินนั้น ๆ จะแก้ไขปัญหาจนแล้วเสร็จ

ในส่วนการติดตามคดีของตำรวจ พลตำรวจเอกวิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังประชุมชุดสืบสวนคดีจากหลายภาคส่วนว่ามีการแบ่งแนวทางการสืบสวนคดีออกเป็น 2 ส่วน คือ ติดตามแก๊งคอลเซนเตอร์ในคดีฉ้อโกง และคดีสวมบัตรประชาชนแสดงตนเป็นบุคคลอื่นเปิดบัญชีธนาคาร  

ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานและข้อมูลเอกสาร โดยพนักงานสอบสวนจะประสานงานขอภาพจากกล้องวงจรปิดจากธนาคาร 7 แห่งมาตรวจสอบ โดยจะตรวจสอบว่านางสาวณิชา มีส่วนเกี่ยวข้องกับเปิดบัญชีดังกล่าวด้วยหรือไม่ ก่อนนำหลักฐานทั้งหมดส่งไปยังสถานีตำรวจภูธรบ้านตาก จังหวัดตากเจ้าของคดี เพื่อดำเนินการต่อไป