คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ลงมติเป็นเอกฉันท์ 15 - 0 ให้เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ รวมถึงรัสเซียและจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของเกาหลีเหนือ เพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยไกลเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวชื่นชมว่า มติของ UNSC เป็นแสดงให้เห็นว่า โลกต้องการสันติภาพ ไม่ได้ต้องการความตาย ด้านนางนิกกี เฮลีย์ ทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็นกล่าวว่า เกาหลีเหนือเป็นตัวอย่างของปีศาจที่น่าสลดใจที่สุดของยุคปัจจุบัน และการคว่ำบาตรได้ส่งสัญญาณไปยังเกาหลีเหนือว่า หากเกาหลีเหนือยังไม่ยอมยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือก็จะถูกลงโทษหนักขึ้นและยิ่งโดดเดี่ยวขึ้นกว่าเดิม
มาตรการคว่ำบาตรฉบับล่าสุดที่สหรัฐฯ ร่างขึ้นเป็นมาตรการที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยจะห้ามนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้าจากเกาหลีเหนือ และจำกัดปริมาณการส่งออกน้ำมันไปยังเกาหลีเหนือให้เหลือเพียง 500,000 บาร์เรลต่อปี และน้ำมันดิบเหลือ 4,000,000 บาร์เรลต่อปี ซึ่งจะลดลงจากเดิมถึงร้อยละ 89 เนื่องจากเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งให้ให้ส่งแรงงานชาวเกาหลีเหนือกลับประเทศภายใน 24 เดือน เนื่องสหรัฐฯ เคยประเมินว่า รัฐบาลเกาหลีเหนือมีรายได้มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ต่อปีจากการเก็บภาษีสูงๆ จากแรงงานชาวเกาหลีเหนือเกือบ 100,000 คนที่ทำงานต่างประเทศ ในจำนวนนี้ ประมาณ 50,000 คนทำงานอยู่ในจีน และอีกประมาณ 30,000 คนอยู่ในรัสเซีย
ด้านนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษกล่าวว่า นานาชาติให้แสดงให้เห็นแล้วว่า ทั่วโลกร่วมกันประณามพฤติกรรมบ้าบิ่นของเกาหลีเหนือ และมาตรการคว่ำบาตรล่าสุดเป็นก้าวสำคัญไปสู่การยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ เพราะนายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือมีทางเลือกเพียง 2 ทางเท่านั้นว่าจะยังแสดงพฤติกรรมยั่วยุข่มขู่ผู้อื่นและถูกโดดเดี่ยวต่อไป หรือจะคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาหลีเหนือ