มาร์ก รุตต์ นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ประกาศว่าประเทศของพวกเขาจะเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง และมาตรการการดังกลาวเป็นเรื่องที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” ที่จะต้องบังคับใช้ โดยร้านค้าที่ขายของไม่จำเป็น บาร์ ยิม ร้านทำผม และสถานที่สาธารณะอื่นๆ จะถูกปิดอย่างน้อยไปจนถึงกลางเดือนมกราคม
“ผมออกมาพูดในคืนวันนี้ด้วยอารมณ์ที่มืดมน และหลายคนที่กำลังรับชมอยู่ย่อมรู้สึกเช่นนั้นด้วย” รุตต์กล่าวขณะแถลงผ่านโทรทัศน์ต่อประชาชน “เพื่อการสรุปรวบยอดในประโยคเดียว เนเธอร์แลนด์จะกลับไปสู่การล็อกดาวน์อีกครั้งตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
หลังจากการประกาศของรุตต์ เนเธอร์แลนด์จะกลับเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้งตั้งแต่วันนี้ (19 ธ.ค.) เป็นต้นไป ทั้งนี้ มาตรการล็อกดาวน์จะทำให้ประชาชนทุกคนต้องอาศัยอยู่ในบ้าน โดยการต้อนรับแขกที่จะมาเยือนบ้านในช่วงปีใหม่จะสามารถทำได้แค่ 2 คน ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป และ 4 คนระหว่างวันที่ 24-26 ธันวาคมตลอดจนคืนสิ้นไปและวันปีใหม่
กิจกรรมที่รัฐบาลอนุญาตทำได้นั้นมีเพียงแค่การจัดงานศพ การซื้อของเข้าบ้านประจำสัปดาห์ และการแข่งขันกีฬาที่ไม่อนุญาตให้มีคนเข้าชมในสนาม โรงเรียนทุกแห่งจะถูกปิดจนกว่าจะถึงวันที่ 9 มกราคม และจะมีการปิดสถานที่อื่นๆ ไปจนถึงวันที่ 14 มกราคม อย่างไรก็ดี ร้านอาหารจะสามารถขายได้เฉพาะการห่อกลับบ้านเท่านั้น
“ตอนนี้ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของชาวเนเธอร์แลนด์ทั้งชาติ การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้น 1 สัปดาห์พอดีก่อนวันคริสต์มาส มันคือคริสต์มาสอีกครั้งที่แตกต่างไปจากคริสต์มาสที่พวกเราอยากให้มันเป็น” รุตต์กล่าวต่อประชาชน โดยเขาตอกย้ำอีกครั้งว่าหากรัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ เพิ่มเติม เนเธอร์แลนด์จะเกิด “สถานการณ์การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่ไม่สามารถจัดการได้”
การติดเชื้อโอไมครอนในเนเธอร์แลนด์ตอนนี้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หากเปรียบเทียบกับเชื้อเดลตาที่กำลังระบาดอยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม ตัวเลขการติดเชื้อโอไมครอนในประเทศแห่งนี้กำลังเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ทางการเนเธอแลนด์ยังคาดการณ์ว่า เชื้อโอไมครอนจะกลายเป็นเชื้อที่ระบาดมากที่สุดในช่วงปีใหม่
รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่า การล็อกดาวน์ครั้งนี้เป็นเพียงแค่การซื้อเวลาเพื่อให้ประชาชนจำกัดการรวมตัว และเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากที่สุด ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของระบบสาธารณสุขของเนเธอร์แลนด์เอง โดยตอนนี้ มีประชากรผู้ใหญ่เนเธอร์แลนด์ 85 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว แต่กลับมีเพียงแค่ประชาชน 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้น
ที่มา: