นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ จะมีการประชุมร่วมกับผู้ค้าข้าวทั้งระบบ ได้แก่ สมาคมโรงสีข้าว ผู้ค้าส่งค้าปลีกข้าว และห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพื่อวางกรอบแนวทางร่วมกันที่จะเดินหน้าผลิตข้าวสารเหนียวบรรจุถุงขนาด 1-5 กิโลกรัม นำไปจำหน่ายผ่านช่องทางร้านธงฟ้าประชารัฐให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ไม่เกินคนละ 2 ถุง หรือ ไม่เกินคนละ 10 กิโลกรัม คาดว่าราคาข้าวสารเหนียวจะอยู่ใกล้เคียงในราคาปัจจุบัน
โดยกรมการค้าภายได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศแจ้งให้ผู้ที่ครอบครองข้าวสารและข้าวเปลือกเหนียวจะต้องแจ้งตัวเลขสต็อกข้าวเปลือกเหนียวและข้าวสารเหนียวในมือของผู้ค้าข้าวทั้งระบบ ให้กระทรวงพาณิชย์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคไม่เกินเวลา 16.30 น.วันที่ 27 ส.ค.นี้ โดยหากไม่ดำเนินการจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที เพราะจากตัวเลขเดิมที่กรมการค้าภายในได้รับมาตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม มีปริมาณข้าวเปลือกอยู่ในมือผู้ค้าประมาณ 30,000 ตัน และข้าวสารเหนียวอยู่ที่ 100,000 ตันเท่านั้น ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลการรายงานปริมาณข้าวเหนียวจากผู้ค้าแล้วจะสามารถนำมาคำนวณว่าจะทำข้าวสารเหนียวถุงออกมาจำหน่ายได้
อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า ราคาข้าวเหนียวที่แพงขึ้นในช่วงนี้ ถือว่าเป็นราคาที่ไม่ได้ผิดปกติ โดยราคาข้าวเปลือกเหนียวที่เกษตรกรขายได้อยู่ที่ 17,000 - 18,000 บาทต่อตัน เมื่อออกจากโรงสีอยู่ที่ 33,000 - 35,000 บาทต่อตัน ก่อนถึงมือผู้บริโภคที่ 37,000 - 40,000 บาทต่อตัน โดยข้าวเปลือกเมื่อผ่านกระบวนการสีจะเหลือเพียงร้อยละ 40 โดยร้อยละ 60 จะเป็นแกลบ ดังนั้นราคาข้างต้นจึงไม่ได้ผิดปกติ ทั้งนี้เชื่อว่าราคาข้าวเหนียวจะเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้
“โครงสร้างราคาข้าวเหนียว ถือว่ายังปกติ เพราะข้าวเปลือกเปลี่ยนเป็นข้าวสารต้องมีหลายกระบวนการกว่าจะไปถึงมือผู้บริโภค คาดว่าราคาข้าวเหนียวจะกลับเป็นปกติในช่วงปลายเดือนหน้า หลังผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาด” นายวิชัย กล่าว