พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ ครม. ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบหลักการ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ในวงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดงบประมาณแบบขาดดุล 7 แสนล้านบาท โดยมีหลายประเด็นที่น่ากังวลซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังถดถอยอย่างหนัก โดยงบประมาณปี 2565 นี้ ลดลงจากงบประมาณปี 2564 ถึง 185,962.5 ล้านบาท หรือลดลง 5.66% ซึ่งโดยปกติงบประมาณรายจ่ายของประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ควรจะต้องเพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อรัฐบาลจะได้นำเงินไปพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยหลังวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด ยิ่งจะต้องการเงินทุนที่จะต้องฟื้นฟูประเทศเพิ่มขึ้นอีกมาก โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น แต่นี่กลับปรับลดงบประมาณลง นอกจากนี้ งบลงทุนในปี 2565 มีเพียง 624,399.9 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าการกู้เงินชดเชยการขาดดุล 700,000 ล้านบาท แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้กู้เงินมาเพื่อลงทุนทั้งหมด แต่กู้มาเพื่อใช้จ่ายด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของความถดถอย ซึ่งปกติงบลงทุนจะต้องเท่ากับหรือมากกว่าเงินกู้ เพื่อประเทศจะได้มีรายได้จากการลงทุนในอนาคต การกู้มาใช้จ่ายก็มีแต่จะหมดไป ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เหมือนที่รัฐบาลกู้มาแจกเงินตอนนี้ แต่ไม่ได้สร้างธุรกิจใหม่เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตก็มีแต่จะหมดไป
อีกทั้งการประเมินรายได้ของรัฐในงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาษีอากร อาจจะทำให้รัฐบาลเก็บรายได้ต่ำกว่าคาดประมาณมากได้ จากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รัฐบาลจะไม่สามารถเก็บภาษีอากรจากประชาชนและภาคธุรกิจตามที่คาดหมายได้ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจะต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอีกเพื่อโปะรายได้ที่จะขาด และจะทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินมากกว่าการลงทุนเพิ่มขึ้นไปอีก หนี้สาธารณะของประเทศจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมาก แต่ประเทศไม่ได้พัฒนา โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้งบประมาณแล้วประมาณ 24 ล้านล้านบาท แต่ประเทศไม่ได้ไปไหนเลย
สาเหตุที่รัฐบาลต้องจัดงบประมาณแบบถดถอยนี้มาจากความล้มเหลว ในการบริหารเศรษฐกิจที่สั่งสมมาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาก และมีการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าการคาดประมาณมาตลอด อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการใช้จ่ายภาครัฐเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจเดียวที่เหลืออยู่เพราะเครื่องจักรอื่นดับหมดแล้ว แต่ก็มาถูกตัดงบประมาณอีก ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจได้ดีเศรษฐกิจไทยจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับหลายๆ ประเทศที่จะฟื้นตัวได้สูง เช่น จีน (7-8%) เวียดนาม (6-7%) และ สหรัฐ {6.4%) เป็นต้น และจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้สูงขึ้น ซึ่งจะไม่ต้องมาลดงบประมาณ หรือ กู้เงินเกินการลงทุนเพื่อมาใช้จ่ายเหมือนที่ไทยกำลังทำ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจตามมาอีกมาก
นอกจากนั้นแล้วในรายละเอียดงบประมาณยังมีหลายประเด็นที่ควรแก้ไข เช่น สำนักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแลรับผิดชอบเรื่องบัตรทอง ถูกปรับลดงบประมาณ 1,815 ล้านบาท ทั้งที่จะมีประชาชนเข้ามาใช้บัตรทองเพิ่มขึ้น 137,000 คน และ ด้วยสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิดอาจต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น อีกทั้ง งบประมาณกลาโหม แม้จะลดลง 11,000 บาท หรือ ลดลง 5.24% แต่ก็ยังลดน้อยไป เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากทางด้านนี้ในสภาวะเช่นนี้ และงบประมาณด้านกลาโหมในอดีตก็เพิ่มขึ้นทุกปีมามากแล้ว
ดังนั้นจึงควรตัดงบประมาณกลาโหมลงอีกมาก และยกเลิกการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมด เพื่อนำเงินไปใช้ด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการจัดหาวัคซืนเพื่อมากระจายฉีดให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้เปิดประเทศรับการท่องเที่ยวและเปิดรับการค้าการลงทุน ซึ่งจะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น และรัฐบาลจะได้ไม่ต้องปรับลดงบประมาณอีก และ การกู้จะได้ใช้เพื่อการลงทุนไม่ใช่กู้มาใช้จ่ายเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งจะกลายเป็นงูกินหางได้
จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ศึกษาแนวทางของประเทศอื่นๆ ที่มีผู้นำที่ฉลาด รอบรู้และมีความชำนาญทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะพบว่าประเทศเหล่านี้จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ใช้สถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิดนี้ในการก้าวกระโดด เพื่อพัฒนาประเทศให้ทะยานไปข้างหน้า โดยผู้นำจีนคาดว่าจะพาประเทศจีนพัฒนาก้าวหน้า โดยมีจีดีพีแซงหน้าประเทศสหรัฐได้ภายใน 8 ปี ในขณะที่ผู้นำเวียดนามจะทำให้เศรษฐกิจเวียดนามขึ้นเป็นอันดับ 19 ของโลกในปี 2035 ซึ่งจะแซงไทยไปแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่พัฒนาไปไหนเลย ภายใต้การบริหารของพล.อ.ประยุทธ์ที่มีแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีที่พิสูจน์แล้วว่าใช้การไม่ได้