สส.เพื่อไทย นำโดย นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนคร และคณะในฐานะผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พร้อมด้วย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน และนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยนายพัฒนา สัพโส ได้กล่าวถึงหลักการของการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวว่ามีหลักการเพื่อ
1) ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 8/2560 เรื่องการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารงานส่วนบุคคลท้องถิ่น ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560
2) กำหนดหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 13 (6) และ
3) กำหนดให้คณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด พิจารณาและมีมีติให้ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอื่นได้ (เพิ่มความเป็นวรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้าของมาตรา 17)
โดยสมควรแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เพื่อแก้ไขปัญหาการรวมศูนย์อำนาจการบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 8/2560 จึงควรกำหนดให้ คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด คณะกรรมการพนักงานเทศบาล คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบล และคณะกรรมการพนักงานเมืองพัทยา มีหน้าที่และอำนาจจัดและดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการองค์การฯ ต่างๆ ของตนได้แล้วแต่กรณี แต่ยังอยู่ภายใต้มาตรฐานทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ส่วนการสอบคัดเลือกและการคัดเลือกข้าราชการก็ยังให้เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ตามอำนาจที่มีอยู่แต่เดิมก่อนมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 8/2560
นอกจากนี้ ยังสมควรแก้ไขปัญหาการโอนพนักงานท้องถิ่น กรณีมีเหตุผลจำเป็นและเพื่อให้การปฎิบัติราชการของท้องถิ่นมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่และไม่สามารถดำเนินการโอนตามหลักความสมัครใจได้ ให้คณะกรรมการกลางข้าราชการของแต่ละองค์กรณ์พิจารณามีมติให้พนักงานส่วนท้องถิ่นโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย อภิปรายสนับสนุนร่างพ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวเพื่อที่จะช่วยกันยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ดังกล่าว และยังจะมีผลดีที่จะเกิดขึ้นอีกคือ
1. เพื่อเป็นการกระจายอำนาจ เพราะที่ผ่านมา คำสั่ง คสช.นี้รวบอำนาจการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น
2. ช่วยแก้ปัญหาบุคคลาการท้องถิ่น โดยเฉพาะสายบริหารงานท้องถิ่นและสถานศึกษาท้องถิ่น
3. เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ความรวดเร็วในการจัดสรรบุคคลากรเข้าสู่ตำแหน่ง และ 4.เพื่อให้สอดคล้องต่อความต้องการในตำแหน่งงานของท้องถิ่นจริงๆ
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน ตั้งข้อสังเกตถึงร่างแก้ไขเพิ่มเติมฉบับดังกล่าวนี้ อาจจะมีเนื้อหาในการไปยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 8/2560 ได้หรือไม่ เพราะมีหลักในมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดว่า หากจะยกเลิกคำสั่ง คสช. จะต้องออกกฎหมายยกเลิกเป็นพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่ง คสช. ฯลฯ แต่นี่คือแค่ร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น หนำซ้ำ ระเบียบนี้ถูกคำสั่งหัวหน้า คสช. ยกเลิกไปแล้วรอบหนึ่ง เท่ากับ ไม่มีอยู่แล้ว จึงใช้วิธี เขียนยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ไว้ในร่างแก้ไขฯ ประเด็นคือ การไปยกเลิกคำสั่ง หัวหน้า คสช. ด้วยการเขียนร่างแก้ไขแบบนี้ได้หรือไม่ หรือควรจะต้องมีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. เพิ่มมาอีก 1 ฉบับ แล้วพิจารณาไปพร้อมกันกับร่างฉบับนี้ เพื่อเมื่อยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ไปพร้อมกับแก้ไขร่างระเบียบฯ ให้กลับมาใช้ได้เลย ดังนั้น จึงเห็นว่า ควรรับหลักการร่างแก้ไขเพิ่มเติมฯ ไป 1 กลุ่ม และควรต้องรับหลักการร่างยกเลิกคำสั่ง คสช. อีก 1 กลุ่ม และเสนอไปพร้อมกันจึงน่าจะเหมาะสม
ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรและไม่สามารถ จัดการเรื่องบุคลากรได้เอง เพราะถูกผูกกับระบบรวมศูนย์ ขาดความคล่องตัวและไม่ตอบสนองต่อสภาพจริงของแต่ละพื้นที่ อีกทั้งระบบที่เป็นอยู่เปิดช่องให้เกิดการใช้เส้นสายและระบบอุปถัมภ์ ทำให้ความก้าวหน้าของข้าราชการท้องถิ่นไม่เป็นไปอย่างเป็นธรรม
สิ่งเหล่านี้สะสมเป็นเวลานานจนทำให้ท้องถิ่นเสียโอกาสในการพัฒนาคนของตนเอง เพื่อดูแลท้องถิ่น
ก่อนหน้านี้ ก็ได้เคยมีความพยายามแก้ไขกฎหมาย แต่สภาเห็นว่า “เกินหลักการ” จึงไม่ผ่าน แต่ร่างฉบับนี้ได้พยายามแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าวแล้ว เหตุผลที่ไม่สำเร็จยังรวมถึงการกังวลเรื่องความโปร่งใส และการกลัวว่าท้องถิ่นจะไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้ แต่ประสบการณ์พิสูจน์แล้วว่าการรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางก็ไม่ได้แก้ปัญหานี้ได้เช่นกัน
ดังนั้น การเสนอร่างในครั้งนี้มีสองแนวทาง คือ
(1) ร่าง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น (แก้ไข พ.ร.บ. ปี 2542) ที่เพิ่มกลไกสอบและโอนย้ายโดยยังคงมาตรฐานกลาง และ
(2) ร่างยกเลิกคำสั่ง คสช. 8/2560 โดยตรง คือ มี 2 ร่างต้องดำเนินการแก้ไขและยกเลิกไปพร้อมกัน
คำถามสำคัญคือ ร่างที่เสนอมาครอบคลุมปัญหาสำคัญแล้วหรือยัง และมี “หลักประกัน” ที่เพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานความเป็นธรรม ประสิทธิภาพและความคล่องตัว การป้องกันระบบเส้นสาย และการเปิดเส้นทางความก้าวหน้า
แนวทางที่ควรวางเป็นหลักประกันเพื่ออนาคตสำหรับท้องถิ่นนั้น เห็นว่าจากนี้ไปควรจะ
-การจัดสอบควรมีมาตรฐานกลาง เช่น การร่วมมือกับสำนักงาน ก.พ. เพื่อสร้างความเป็นธรรมทั่วประเทศ
-ต้องมีกลไกถ่วงดุล ระหว่างคณะกรรมการกลาง ผู้บริหาร อปท. และตัวแทนข้าราชการท้องถิ่น
ไม่ใช่รวมศูนย์ที่รัฐมนตรีมหาดไทยเพียงคนเดียว
-ต้องสร้างระบบที่ทำให้ท้องถิ่นบริหารได้เอง แต่ยังคงมีการตรวจสอบจากภายนอก เพื่อป้องกันการแทรกแซงและการใช้อำนาจมิชอบ
-เน้นให้การโอนย้ายบุคลากรใช้หลัก “สมัครใจ” เป็นสำคัญ และใช้มาตรการบังคับเฉพาะเมื่อจำเป็นจริง
ในที่สุด ที่ประชุมผู้แทนราษฎร ได้ลงมติรับหลักการในวาระ 1 ร่างพระราชบัญญัติฯ และร่างอื่นในทำนองเดียวกันทั้งหมด ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 317 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 2 และ ไม่ลงคะแนนเสียง 1 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการฯ เพื่อแปรญัตติในวาระ 2 ต่อไป