ไม่พบผลการค้นหา
หน่วยราชการลับอังกฤษรวมถึงอีกหลายชาติจับมือสหรัฐฯ ร่วมสืบต้นต่อเชื้อโควิด ด้าน 2 นักวิจัยอังกฤษ-นอร์เวย์ ชี้มีหลักฐานว่าเชื้อโควิดถูกสร้างในแล็บอู่ฮั่น

สมมติฐานทฤษฎีที่ว่าเชื้อโควิด-19 อาจมีต้นกำเนิดจากสถาบันไวรัสวิทยาในอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีนนั้น ก็ยังคงไม่สิ้นเคลือบแคลงความสงสัย จากการที่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านข่าวกรองทุกภาคส่วน ไปรวบรวมพร้อมทบทวนรายงานการสืบสวนด้านข่าวกรองเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัสโควิด-19 โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้สั่งขีดเส้นตายภายใน 90 วัน ในการหาข้อสรุปอย่างมีน้ำหนักว่า แท้จริงแล้วไวรัสมีต้นกำเนิดบนสมมติฐานใดกันแน่ ระหว่างเกิดจากการสัมผัสเชื้อจากสัตว์สู่คนตามธรรมชาติ หรือเกิดจากความผิดพลาดที่เชื้อหลุดจากไวรัสในห้องแล็บ

ก่อนหน้าที่ไบเดนจะมีคำสั่งดังกล่าว เดอะวอลล์สตรีทเจอนัลได้รายงานอ้างแหล่งข่าวเป็นเอกสารรายงานด้านข่าวกรองที่ไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน ระบุว่า ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยระบุว่า พบเจ้าหน้าที่ประจำสถานบันไวรัสวิทยาแห่งเมืองอู่ฮั่น ของมณฑลหูเป่ย์ จำนวน 3 ราย เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยอาการป่วยติดเชื้อปอดอักเสบรุนแรงฉับพลัน เพียงไม่นานก่อนที่ 8 ธันวาคม 2562 จีนจะรายงานต่อองค์การอนามัยโลกว่าพบผู้ป่วยรายแรกที่ยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อันเป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาว่า 'โควิด-19'

ช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มักแสดงจุดยืนว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์2019 อาจมีต้นกำเนิดจากแล็บในเมืองอู่ฮั่น แม้ว่าหน่วยงานราชการลับสหรัฐฯ จะยังคงให้น้ำหนักกับความเชื่อที่ว่าไวรัาอาจเกิดตามธรรมชาติจากการสัมผัสของมนุษย์ก็ตาม

หลังประธานาธิบดีไบเดนแถลงแสดงจุดยืนดังกล่าว ส่งผลให้หน่วยงานราชการลับในหลายชาติ ซึ่งรวมถึงหน่วยงานข่าวกรองของสหราชอาณาจักร และความมั่นคงอื่นๆ ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก ต่างผนึกกำลังให้ความช่วยเหลือในการสอบสวนต้นต่อการระบาดครั้งใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อพยายามหาข้อเท็จจริงต้นกำเนิดของไวรัสโคโรนา

ขณะเดียวกันได้มีผลการศึกษาใหม่ที่ถูกเผยแพร่ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งยิ่งทำให้ข้อสมมติฐานด้านต้นกำเนิดไวรัสจากแล็บนั้นมีน้ำหนักมากขึ้น โดยงานวิจัยของ ศาสตราจารย์แองกัส ดัลกลิช และดร.เบอร์เกอร์ โซเรนเซน นักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ ได้เผยรายงานวิจัยความยาว 22 หน้า ในระหว่างที่ทั้งสอง กำลังศึกษาและวัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด โดยชี้ว่า "ไม่น่ามีความเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัส SARS-Coronavirus2 หรือ โควิด-19 จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

นักวิจัยทั้งสองตั้งข้อสังเกตในระหว่างการวิเคราะห์ตัวอย่างเชื้อโควิดเมื่อปี 2563 เพื่อพยายามพัฒนาวัคซีน โดยพบ 'ลายนิ้วที่เป็นเอกลักษณ์' (Unique Fingerprint) ในลักษณะของเชื้อโควิด-19 ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั้งสองชี้ว่า Unique Fingerprint นี้มักเกิดขึ้นจากการถูก "จัดการ" ภายในห้องทดลองเท่านั้น

ดร.โซเรนเซน อธิบายว่า เป็นไปได้ยากที่ภายในเชื้อไวรัสจะมีแถวของกรดอะมิโน 4 ชนิดที่เป็นประจุบวกอยู่ในแถวเดียวกัน ในการจับกับเซลล์มนุษย์ที่เป็นประจุลบ อยู่ใน 'สไปค์' โปรตีน หรือหนามแหลมของเชื้อโคโรนา ลักษณะนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติถ้าไม่ได้ถูกจัดการในห้องแล็บ

ที่ผ่านมา นักวิจัยทั้งสองพยายามตีพิมพ์เรื่องนี้ต่อสาธารณชนแต่ถูกวารสารด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายแห่งปฏิเสธ เนื่องจากก่อนหน้านี้หลายฝ่ายมีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่าไวรัสแพร่จากค้างคาวหรือผ่านสัตว์ชนิดอื่นมาสู่มนุษย์ ทว่าในช่วงกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาตร์หลายฝ่ายทั่วโลกต่างมีท่าทีมุมมองต่อต้นกำเนิดของไวรัสโควิดที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นในปี 2563 ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อของสหรัฐฯ หัวหน้าทีมสถานาการณ์โควิดของทำเนียบขาว เคยแสดงความเห็นว่า มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีน้ำหนักว่าเชื้อโควิดไม่มีต้นกำเนิดมาจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ทว่าต่อมาหมอเฟาซีได้แสดงความเห็นในลักษณะที่เปลียนไป โดยขณะนี้เขาไม่เชื่อมั่นเต็มร้อยนัก ว่าเชื้อโควิดนี้จะเกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐฯ และประชาคมโลกตรวจสอบหาต้นกำเนิดของเชื้อโควิด-19 อย่างจริงจัง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ที่มา: VOA , Washingtonpost , TheGuardian