วันที่ 31 ก.ค. 2566 ชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าตามหนังสือที่บริษัทได้แจ้งผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ส.53/2559 คดีหมายเลขแดงที่ ส.19/2564 ให้เพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร
โดยไม่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต ตามมาตรา 39 ทวิ ตามแบบ กทม.6 เลขที่ 18/2558 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 เลขที่ 69/2558 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2558 และใบรับแจ้งการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 39 ตรี ตามแบบ ยผ.4 เลขที่ 48/2559 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2559 และเลขที่ 129/2560 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ที่ออกให้แก่ผู้ร้องสอด โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ออกหนังสือฉบับดังกล่าวนั้น
บริษัทฯได้รับผลกระทบเฉพาะในสัดส่วนที่ลงทุนไว้ในบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุน (Joint Venture) ระหว่างบริษัทฯ กับ ซี อินเวสเม้นท์ ไฟว์ไพรเวท ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด ในสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 51 และร้อยละ 49 ตามลำดับ
โดยบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ เป็นบริษัทผู้พัฒนาโครงการ แอชตัน อโศก โครงการดังกล่าวมีมูลค่ารวมจำนวน 6,481 ล้านบาท และมีจำนวนยูนิตทั้งสิ้น 783 ยูนิต โดยมีจำนวนยูนิตที่โอนไปแล้วจำนวน 668 ยูนิตคิดเป็นมูลค่า 5,653 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 87 และปัจจุบันมีจำนวนยูนิตคงเหลือ 115 นิต คิดเป็นมูลค่า 828 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13
การดำเนินงานของบริษัทยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ตามตราสารหนี้ และภาระผูกพันต่าง ๆ ที่มีผลผูกพันกับบริษัทฯ ได้ตามปกติ รวมทั้งยังสามารถดำเนินธุรกิจ และทำธุรกรรมกับคู่ค้า สถาบันการเงินต่างๆ ได้ตามปกติ
บริษัทฯ ขอเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าว และแนวทางที่จะแก้ไขต่อไปโดยเร็ว ดังนี้
(1) โครงการแอชตัน อโศก (Ashton Asoke) เป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัท นันดา เอ็มเอฟฯ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษาดังกล่าว นอกจากมีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนผู้ซื้อห้องชุด หรือเจ้าของร่วมในโครงการแอชตันอโศก แล้วยังส่งผลกระทบกับ บริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ ในฐานะผู้ประกอบการโครงการนี้ด้วย
ในส่วนของบริษัทฯ และบริษัทร่วมทุน ในฐานะผู้ลงทุน และผู้ถือหุ้นของบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ ก็ได้รับความเสียหายตามสัดส่วนที่บริษัทฯ ได้ลงทุนถือหุ้นในบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ ด้วยเช่นกัน ดังนั้น คณะกรรมการของบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ บริษัทฯ และบริษัทร่วมทุนจึงได้ร่วมกันรวบรวมความเสียหาย และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อติดต่อเจรจากับส่วนงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไปโดยเร่งด่วน ส่วนมูลค่าความเสียหายในเบื้องต้น อยู่ระหว่างการประเมิน
(2) ร่วมกับผู้สอบบัญชีของบริษัท และผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน และเพื่อพิจารณาการตั้งสำรองในไตรมาส 2 นี้ แม้ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษาเพิกถอนใบรับหนังสือแจ้งความประสงค์จะก่อสร้างแต่ความเสียหายดังกล่าว ยังสามารถแก้ไขได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ผู้แทนหน่วยงานของรัฐได้เสนอทางแก้ตามที่เป็นข่าวต่อสาธารณะไปแล้วว่า กรณีที่ศาลเพิกถอนใบอนุญาตโครงการ ไม่จำเป็นต้องรื้อถอนอาคาร
ซึ่งบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ กำลังพิจารณาหาแนวทางแก้ไขที่มีอยู่หลายแนวทาง โดยบริษัทฯ และบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ จะได้ขอเข้าพบกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงหัวหน้าหน่วยงานรัฐ ซึ่งถูกฟ้องในคดีเดียวกัน อันได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ภายใน 14 วันทำการ นับถัดจากวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา เพื่อเจรจาหาทางแก้ไขกับหน่วยงานของรัฐต่อไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดมิได้กำหนดกรอบระยะเวลาที่สั่งเพิกถอนอาคาร ว่าหน่วยงานของกรุงเทพมหานครจะต้องดำเนินการภายในเมื่อใด และมิได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมอื่นๆ ทั้งนี้ หน่วยงานของกรุงเทพมหานครจะเป็นผู้สั่งการให้บริษัทดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
(3) บริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ อยู่ระหว่างการประชุมหารือร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางในการอนุมัติ หรืออนุญาตให้ทำโครงการแอชตัน อโศก เพื่อแก้ไขความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้ซื้อห้องชุด หรือเจ้าของร่วม รวมถึงความเสียหายของบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ ผู้พัฒนาโครงการดังกล่าวด้วยความสุจริต และเป็นไปตามกฎหมายตามที่หน่วยงานของรัฐได้รับรองไว้หลายหน่วยงานมาโดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งการหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะเป็นการดำเนินการควบคู่กับการพิจารณาแนวทางอื่นที่มีอยู่หลายแนวทางด้วย ซึ่งบริษัทฯ จะได้รายงานความคืบหน้าให้ทราบเพิ่มเติมต่อไป
บริษัทจะหารือกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และหากมีความคืบหน้า หรือมีแนวทางที่ชัดเจนมากกว่านี้ บริษัทจะแจ้งข่าวให้ทราบผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป
ที่มา : https://weblink.set.or.th/dat/news/202307/1099NWS310720230702040283T.pdf