ไม่พบผลการค้นหา
ชวนอ่าน เพราะคิดมากไปจึงเจ็บปวด หนังสือที่ช่วยปลอบโยน ผู้มีฝัน ผู้ไม่มีฝัน และผู้ที่ยังเดินไม่ถึงฝัน หรือแม้แต่ผู้ที่ทอดทิ้งฝันไปแล้ว

บางทีบทความนี้อาจไม่ได้เป็นการรีวิวหนังสืออย่างที่ผ่านมา บางทีอาจเป็นการปลดปล่อยพันธนาการที่อยู่ในสมองและจิตใจและตลอดมา และเราก็แค่คิดว่า พวกคุณก็คงไม่ต่างกัน

ครั้งแรกที่เราฟังเพลง ‘Don’t You Worry ’Bout Me’ ของ Lukas Graham เราทั้งร้องไห้แบบน้ำตาจะหมดและยิ้มออกมาจากข้างในแบบบริสุทธิ์ใจ มันเป็นความรู้สึกว่าเราไม่ได้เผชิญเรื่องราวแบบนี้ตัวคนเดียวนะ ในโลกใบนี้ต้องมีใครสักคน ไม่ว่าคุณจะรู้จักเขาหรือไม่ ที่ต้องกัดฟันสู้ในเรื่องแบบเดียวกับคุณ

เราเสียพ่อไปตอนอายุ 20 ปี ไม่คิดไม่ฝันหรอก แต่ไม่เป็นไร เราบอกตัวเองแบบนั้นมาตลอด พ่อเสียตอนสอบไฟนอล ก็ไม่เป็นไรนะ อ่านหนังสือไปจัดงานศพไป ร้องไห้ไปก็ได้ เธอยังมีฝันต้องเดินต่อไปนะ ชีวิตเธอยังต้องเดินต่อไป ทุกคนรอบตัวก็ได้แต่ถามว่า ‘ไหวไหม’ ‘ไม่ต้องเข้มแข็งก็ได้’ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ยังต้องเดินต่อไป ฝันก็ยังต้องทำต่อไป เพราะมันยังไม่ถึงฝันไง

แล้วถามว่า เนื้อเพลงคืออะไรใช่ไหม มันคือสิ่งนี้ “A lot of people told me when Daddy passed away, go take some time off. But I got no time to waste. Don't you have a dream too? Some goals you've got to make?”  แปลให้ออกมาเป็นภาษาง่ายๆ ก็คือ “หลายคนบอกกับฉันตอนที่เสียพ่อไปว่าให้พักบ้าง แต่ฉันไม่สามารถเสียเวลาได้ พวกคุณไม่มีฝันกันหรอ เป้าหมายที่คุณต้องทำให้ได้หน่ะ”

เรามีแพชชันกับการเดินตามความฝันของเรามาตลอด แต่ด้วยความสัจจริง มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดนะ เพื่อนเราบางคนเคยบอกว่า “มึงดีเนาะ รู้ว่าตัวเองชอบอะไร กูแม่งโคตรเครียด จบมาไม่รู้จะทำอะไรต่อ” จริงอยู่ที่เรารู้ว่าเราชอบอะไร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่ทรมาน เพราะเรารู้ว่าเราชอบอะไร เรายิ่งกดดันตัวเอง เรายิ่งไม่เข้าใจทำไมเราถึงไม่สำเร็จสักที ทำไมมันยังไม่สักที ทำไมทุกอย่างดูช้าเหลือเกิน ฉันสละทุกอย่างแล้ว แล้วความฝันหล่ะ จะเป็นจริงได้รึยัง ในทำนองเดียวกัน เราก็รู้ว่าพวกคุณที่ยังหาตัวเองไม่เจอ ก็กดดันและหงุดหงิดไม่ต่างกันหรอก

อ่านยัง

แล้วยังไงหรอ แล้วหนังสือเล่มนี้มันยังไงหรอ เราว่ามันก็ไม่ยังไงหรอก มันก็แค่คนเขียนเองเฝ้ามองเหล่าวัยรุ่นหลายต่อหลายคน ผ่านสายตาของอาจารย์ตลอดช่วงหลายปีต้องการปลอบโยนพวกเขาแหละ

ในบทแรกๆ ที่ทำให้เราตกหลุมรักหนังสือเล่มนี้พวกถึงเรื่องดอกไม้และฤดูกาล ตั้งแต่เกิดเติบโตมาเรารู้อยู่แล้วว่าดอกไม้แต่ละชนิดบานกันคนละช่วงเวลา ช่วงสภาพอากาศ แต่ชีวิตประจำวันทุกวันนี้กลับกดดันให้เราคิดว่าเราต้องผลิบานให้ได้เหมือนคนอื่น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว “ดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ใช่ช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น”

อะไรกันนะที่มันทำให้เราลืมคิดมาตลอดว่าเราไม่เหมือนคนอื่น ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น ไม่ต้องสำเร็จให้เท่าคนอื่น ให้เร็วกว่าคนอื่น อันที่จริงคือไม่ต้องเทียบกับคนอื่นเลยด้วยซ้ำไป

ผู้เขียนยังเตือนสติเราด้วยว่า การไปถึงเส้นชัยแบบเร็วเกินไป แบบเต็มไปด้วยทางลัด จะทำให้เกิดความทะนงตนและความเชื่อยฉาต่อชีวิต หรือการเพิกเฉยต่อการพัฒนาตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่อาจทำให้คนประสบความสำเร็จ “ได้มากที่สุด” แม้เขาคนนั้นจะประสบความสำเร็จ “ได้เร็วที่สุด”

ทุกวันนี้เรายังวิ่งตามความฝันเราอยู่นะ เราอยากนั่งเครื่องบินเจ็ทไปยังความฝันเราเหมือนกันแหละ แต่เราขับเครื่องบินเจ็ทไม่เป็นและไม่รู้วิธีลงจอดด้วย เอาตามความจริงเราก็ยังวิ่งไม่เก่งนะ แต่เราวิ่งมาสักพักและก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคือเรารู้ว่าถ้าเราวิ่งต่อไป เมื่อถึงเส้นชัยเราจะรู้วิธีผ่อนแรงแล้วแหละ เราจะรู้วิธีอยู่กับความสำเร็จนั้น ว่าแต่ ความสำเร็จจริงๆ มันคืออะไรกันนะ มันมีจริงหรอจุดที่เราเรียกว่าประสบความสำเร็จ

ย่อหน้าสุดท้าย เราขอเขียนให้กำลังใจทุกคนที่วิ่งตามฝันหรือวิ่งตามหาฝันว่าคืออะไรกันแน่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราอยากให้พวกคุณลองผ่อนแรงเพื่อกลับมาหายใจบ้าง ดื่มน้ำ ดื่มเกลือแร่บ้าง หาสรรพสิ่งมาปลอบประโลมตัวเองบ้าง การผ่อนแรงไม่ได้ทำให้เราถึงฝันช้าลงหรอกนะ ก็เพราะมันไม่มีคำว่าช้าหรือเร็วหรอกเพราะความฝันของแต่ละคน การประสบความสำเร็จของแต่ละคน มันเปรียบเทียบกันไม่ได้