วันนี้ (18 มิ.ย.68) นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) “การเชื่อมโยงและปรับปรุงฐานข้อมูลประชาชนในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มคนพิการ และการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุตามสิทธิ/สวัสดิการที่จะได้รับรายบุคคลเพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ” จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หัวหน้าส่วนราชการ องค์การมหาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย
นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการด้านข้อมูล One Data : All Right ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ประกอบด้วยนิทรรศการสำคัญในมิติต่าง ๆ 5 ด้าน ประกอบด้วย
1) มิติด้านรายได้ (กค.)
2) มิติด้านการมีงานทำ กรมจัดหางาน (รง.)
3) มิติด้านสุขภาพ (สธ.)
4) มิติด้านศึกษา (ศธ.)
5) มิติด้านสวัสดิการสังคม (พม.)
รวมทั้งนิทรรศการของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นการนำเสนอถึงความคืบหน้าการบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันอย่างเป็นระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมุ่งมั่นในการบูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่จากหลากหลายภาคส่วน เพื่อเสริมสร้างการวางแผนเชิงนโยบายที่มีประสิทธิภาพและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็น Data-Driven Nation อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการบูรณาการข้อมูลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) “การเชื่อมโยงและปรับปรุงฐานข้อมูลประชาชนในกลุ่มเปราะบางและกลุ่มคนพิการ และการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุตามสิทธิ/สวัสดิการที่จะได้รับรายบุคคลเพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่ขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 29 ฝ่าย ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกันประกอบด้วย 15 กระทรวง 14 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพื่อร่วมกันพัฒนาและเชื่อมโยงฐานข้อมูลให้เป็นระบบที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในการส่งเสริมสิทธิและสวัสดิการ และการวางแผนเชิงนโยบายต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการวางรากฐาน “ ข้อมูล ” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องประชาชน ซึ่งจากที่ได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการการบูรณาการข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 5 มิติ ทั้งด้านรายได้ ด้านการมีงานทำ ด้านสุขภาพ ด้านศึกษา ด้านสวัสดิการสังคม ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถือเป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งจะทำให้มีฐานข้อมูลร่วมกันที่ใหญ่และมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้สามารถลดความซ้ำซ้อนได้มากขึ้น อีกทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันดังกล่าวยังทำให้รัฐประหยัดเวลาและสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ตรงเป้าหมายและตรงกลุ่มมากขึ้นด้วย
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันว่า ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเทคนิค แต่เป็นการปฏิรูปรากฐานการทำงานของรัฐที่จะส่งผลใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่
(1) ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณและทรัพยากรของรัฐ ให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เมื่อข้อมูลของกลุ่มเปราะบางถูกเชื่อมโยงกัน หน่วยงานต่าง ๆ ในระดับพื้นที่จะสามารถทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ลดการทำงานซ้ำซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ การตรวจสอบสิทธิ์ หรือการจ่ายสวัสดิการ ทำให้ภาครัฐสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า ลดภาระทางการคลังของภาครัฐ
(2) การสร้างความเป็นธรรม ลดการตกหล่นของประชาชนในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งหลายครั้งที่ผ่านมามักพบว่ามีผู้ที่ควรได้รับการช่วยเหลือแต่กลับไม่อยู่ในระบบ เช่น กลุ่มที่ยากจนจริงแต่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือคนพิการที่ไม่เคยขึ้นทะเบียน การมีข้อมูลที่บูรณาการจะช่วยทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลับมาอยู่ในสายตาของรัฐ และได้รับความช่วยเหลืออย่างถูกต้องและเป็นธรรม
(3) การส่งเสริมศักยภาพของประชาชนอย่างตรงจุด ด้วยข้อมูลแบบรายบุคคลและรายพื้นที่ หากมีข้อมูลจำนวนกลุ่มเปราะบาง และรู้ว่าอยู่ตรงไหน จะทำให้รัฐสามารถช่วยเหลือได้ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุที่กระจายตัวในชุมชน หรือที่อยู่ติดบ้าน รวมถึงอยู่ติดเตียงว่ามีจำนวนเท่าไหร่ในแต่ละจังหวัด จะทำให้การจัดสรรเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ไปถึงประชาชนได้อย่างครบถ้วน และมีปริมาณเพียงพอตรงกับจำนวนของประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือ ทำให้สามารถพัฒนากลุ่มเปราะบางด้วยการส่งเสริมการเข้าถึงการฝึกทักษะอาชีพเพื่อการมีงานทำและการสร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัวได้มากยิ่งขึ้น
“การเริ่มต้นแบบนี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลแบบบูรณาการ ทำให้มีข้อมูลมากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์ประชาชนมากยิ่งขึ้น การดำเนินการดังกล่าวของหลายกระทรวงทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดประโยชน์กับประชาชนได้จริง ๆ แต่มากไปกว่านั้นคือการดำเนินการที่ทำให้เกิด one stop service เพราะเรื่องของเอกสาร เรื่องการขอสวัสดิการของรัฐต่าง ๆ ต้องไปยื่นเอกสารหลายที่ ตรงนี้รัฐบาลให้ความสำคัญโดยจะทำให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดในการยื่นเอกสาร หรือการขอสวัสดิการต่าง ๆ จากรัฐ ให้ใช้เวลาน้อยลงและมีความสะดวกต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานของรัฐได้มีการบูรณาการข้อมูลร่วมกันแล้ว ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน รัฐบาลจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในนามของนายกรัฐมนตรี ต้องขอขอบคุณหน่วยงาน ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่วันนี้เรามีระบบที่เป็น Big Data รวมข้อมูลของพี่น้องประชาชน เพื่อให้เข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างทั่วถึงกัน” นายกรัฐมนตรี ย้ำ