ไม่พบผลการค้นหา
กรมชลประทานแจ้งเตือนล่วงหน้า การระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไม่เกิน 2,700 ลบ.ม./วินาที ย้ำ 11 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี อยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯ เฝ้าระวัง

สถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ปัจจุบัน (3 ตุลาคม 2568) เวลา 06.00 น. ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C.2 จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,770 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที สมทบกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขาอีกประมาณ 100 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ระดับ +16.36 ม.รทก. ระดับท้าย +15.70 ม.รทก. ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 2,400 ลบ.ม./วินาที และจะทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได เป็น 2,500 ลบ.ม./วินาที ภายในคืนนี้ (เวลา 21.00 น.) โดยจะบริหารจัดการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อคงการระบายน้ำให้อยู่ในอัตราดังกล่าว พร้อมทั้งควบคุมระดับน้ำหน้าเขื่อนให้ไม่เกิน +17.00 ม.รทก.

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C.2 จังหวัดนครสวรค์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2,700 - 2,900 ลบ.ม./วินาที และคาดการณ์ว่าแม่น้ำสะแกกรังปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำนีวัดน้ำ C:19 จังหวัดอุทัยธานีและลำน้ำน้ำสาขารวมอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 180 ลบ.ม./วินาที โดยใช้พื้นที่ว่างเหนือเขื่อนเจ้าพระยาชะลอน้ำไว้ รวมทั้งตัดยอดน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำทั้งสองฝั่ง แต่เนื่องจากพื้นที่ชลประทานของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างยังคงมีฝนตกเต็มพื้นที่เช่นกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปิที่ยังเก็บเกี่ยวไม่แล้วเสร็จ จึงแบ่งรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งรวมจำนวน 400 ลบ.ม./วินาที

จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น กรมชลประทานได้ดำเนินการภายใต้เกณฑ์การบริหารจัดการน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา

โดยประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อนุญาตให้กรมชลประทานปรับเพิ่มปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจากเติมไม่เกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที เป็นไม่เกิน 2,700 ลบ.ม./วินาที แบบขั้นบันได พร้อมทั้ง บริหารจัดการน้ำและควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและพื้นที่การเกษตร ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 10 - 40 เซนติเมตร ในบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมน้ำแม่ ดังนี้

-จังหวัดชัยนาท : ต.โพนางดำออก และบ้านท่าทราย อ.สรรพยา

-จังหวัดสิงห์บุรี : วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี, อ.พรหมบุรี และ วัดเสือข้าม อ.เมืองสิงห์บุรี

-จังหวัดอ่างทอง : วัดไชโย ต.เทวราช อ.ไชโย, อ.ป่าโมก รวมทั้งคลองโผงเผง

-จังหวัดพระนครศรีอยุธยา : ต.หัวเวียง อ.เสนา, ต.ลาดชิด และ ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ รวมถึงพื้นที่แม่น้ำน้อย สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ และคลองบางบาล

กรมชลประทานได้แจ้งเตือนจังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา 11 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เตรียมรับมือสถานการณ์น้ำและเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ด้านสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวม 22,423 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 90 ของความจุอ่างฯ สามารถรองรับน้ำได้อีก 2,448 ล้าน ลบ.ม. ส่วนในด้านการระบายน้ำ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก ทยอยปรับลดการระบายน้ำจากเดิม 10 ล้าน ลบ.ม./วัน เหลือ 5 ล้าน ลบ.ม./วัน เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่าง ขณะเดียวกัน มีการบริหารจัดการการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์รวมกันให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 30 ล้าน ลบ.ม./วัน โดยเขื่อนสิริกิติ์จะปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำแบบขั้นบันไดจาก 15 ล้าน ลบ.ม./วัน ไปจนถึง 25 ล้านลบ.ม./วัน พร้อมทั้งติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพื้นที่ด้านท้ายน้ำ

กรมชลประทานยังคงติดตาม เฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง เพื่อให้บริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำฝนและน้ำท่า มีการนำน้ำเข้าสู่คลองชลประทานเต็มศักยภาพ ติดตั้งเครื่องจักร และเดินเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เร่งระบายน้ำส่วนเกินลงสู่อ่าวไทย เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด

ติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำเพิ่มเติมได้ที่ wmsc.rid.go.th และ bigdata-swoc.rid.go.th

557634370_1328528209284044_5962799216120975200_n.jpg