ปฏิบัติการฝึกซ้อมรบวอสต็อก 2018 ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดของรัสเซียนับตั้งแต่ปี 2524 จะจัดขึ้นที่ไซบีเรียช่วงวันที่ 11-15 ก.ย. โดยมีทหารจากจีนและมองโกเลียเข้าร่วมฝึกซ้อมด้วย รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 150,000 นาย พร้อมด้วยรถถัง ยานเกราะ เฮลิคอปเตอร์ เรือรบ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ อย่างคับคั่ง
ซีเอ็นเอ็นรายงานอ้างอิงคำแถลงของกระทรวงกลาโหมจีน ระบุว่าจะมีทหารจีนราว 3,200 นายเข้าร่วมฝึกซ้อมรบ แต่ยืนยันว่าปฏิบัติการร่วมฝึกซ้อมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการฝึกโจมตี แต่เป็นการฝึกซ้อมป้องกัน ตอบโต้ และการยิงต่อต้านขีปนาวุธเท่านั้น
ขณะที่ ข้อมูลของสำนักข่าวกรอง หรือ ซีไอเอของสหรัฐอเมริกา ระบุว่าปฏิบัติการวอสต็อก 2018 จะมีการฝึกซ้อมความร่วมมือพิเศษ 16 ประเภท ซึ่งจะรวมถึงปฏิบัติการทางอากาศด้วย ส่วนรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้ประเมินว่ากองทัพจีนกำลังพัฒนาขบวนเรือรบที่สามารถยิงขีปนาวุธระยะไกลได้ และมีแนวโน้มว่าจีนอาจร่วมฝึกซ้อมรบเพื่อทดสอบการโจมตีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนแถลงตอบโต้ว่าข้อมูลของสหรัฐฯ เป็นการกล่าวหากันโดยไร้ความรับผิดชอบ พร้อมยืนยันว่าจีนฝึกซ้อมปฏิบัติการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยและเสถียรภาพของประเทศชาติเท่านั้น
มาร์ก กาเลอ็อตตี ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงสถาบันกิจการต่างประเทศแห่งปราก เปิดเผยกับดิอินดีเพนเดนท์ว่า การฝึกซ้อมรบร่วมกันของรัสเซีย จีน และมองโกเลีย เป็นการแสดงให้เห็นว่าการคว่ำบาตรรัสเซียของกลุ่มประเทศตะวันตกและสมาชิกองค์การนาโตไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อรัสเซียมากนัก แต่กลับทำให้รัสเซียขยายอิทธิพลและประสานความร่วมมือกับต่างประเทศที่มีแนวคิดเดียวกันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และการฝึกซ้อมรบครั้งนี้อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญก็เป็นได้
ขณะที่ อเล็กซานเดอร์ กาบูเยฟ ประธานศูนย์มอสโกศึกษาแห่งโครงการเอเชียแปซิฟิก มหาวิทยาลัยคาร์เนกี ระบุว่า นับตั้งแต่รัสเซียเข้าไปแทรกแซงแหลมไครเมียจนเกิดการลงประชามติและการประกาศตัวเป็นเอกราชจากยูเครนเมื่อปี 2015 และจีนไม่มีท่าทีคัดค้านรัสเซีย ทั้งยังแสดงตัวเป็นพันธมิตรในยามที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปประณามรัสเซีย ทำให้รัสเซียตัดสินใจได้ทันทีว่าจีนไม่ใช่ปฏิปักษ์ของรัสเซียอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในระยะ 15 ถึง 20 ปีต่อจากนี้ ส่งผลให้รัสเซียไม่มีความจำเป็นต้องประนีประนอมกับประเทศตะวันตก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: