กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศแผนบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรด้านวีซ่าแก่เมียนมาและลาวตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลของทั้งสองประเทศจะถูกระงับวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ จนกว่าเมียนมาและลาวจะยอมดำเนินเรื่องรับรองผู้ลี้ภัยที่จะถูกส่งกลับจากสหรัฐฯ
สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า กลุ่มผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ราว 160,000 คน เป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรสหรัฐฯ ที่จะถูกส่งกลับประเทศต้นทาง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามนโยบายผู้อพยพทของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สังกัดพรรครีพับลิกัน
ส่วนผู้ลี้ภัยที่จะถูกส่งกลับล่าสุด เกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่หนีภัยสงครามความขัดแย้งในพม่าเมื่อครั้งอดีต และกรณีของลาว ผู้ที่จะถูกส่งกลับเป็นชาวม้งลาวหรือลูกหลานชาวม้งลาวที่เคยเข้าร่วมกับกองทัพสหรัฐฯ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน
เมื่อปีที่แล้ว ชาวกัมพูชา 43 คนที่เคยลี้ภัยสงครามกลางเมืองกัมพูชาไปยังสหรัฐฯ ถูกส่งตัวกลับประเทศเช่นกัน
(ต้นเดือน ก.ค. มีการชุมนุมหลายจุดทั่วสหรัฐฯ เพื่อประท้วงนโยบายผู้อพยพของทรัมป์)
นายทรัมป์ยืนยันมาตลอดว่านโยบายผู้อพยพของเขาจะช่วยให้สหรัฐฯ มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น และจะส่งเสริมให้มีการจ้างงานชาวอเมริกันแทนแรงงานต่างชาติ แต่ผู้คัดค้านนโยบายวิจารณ์ว่า การบังคับใช้และกวาดจับผู้ลี้ภัยหรือผู้อพยพในสหรัฐฯ เป็นมาตรการเหมารวมที่เข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งสหรัฐฯ เป็นภาคี
ทั้งนี้ มาตรการส่งกลับผู้ลี้ภัยและการบังคับใช้นโยบายกีดกันผู้อพยพ อยู่ภายใต้การดำเนินการของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) แต่หลายประเทศที่ได้รับผลกระทบ ต่างไม่พอใจและไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ ICE แยกตัวเยาวชนกว่า 1,900 คนไปจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่เข้าสหรัฐฯ โดยไม่มีเอกสารอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถูกโจมตีอย่างหนักว่าละเมิดสิทธิเด็กและไร้มนุษยธรรม
กรณีดังกล่าวยังไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน แม้นายทรัมป์จะลงนามยกเลิกการพรากครอบครัวผู้อพยพไปแล้ว แต่การดำเนินเรื่องให้ครอบครัวผู้อพยพกลับมาอยู่ร่วมกันยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งยังพบอุปสรรคมากมาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่บางส่วนไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ ทำให้ติดตามการเคลื่อนย้ายของแต่ละครอบครัวไม่ได้
ส่วนนายทรัมป์กำลังอยู่ระหว่างเดินทางเยือนอังกฤษ ช่วงวันที่ 12-15 ก.ค. ซึ่งชาวลอนดอนราว 200,000 คนระบุว่าจะเข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงทรัมป์ด้วย และทรัมป์วิจารณ์ว่า การปล่อยให้มีผู้ชุมนุมต่อต้านเขาในอังกฤษ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเอง "ไม่เป็นที่ต้อนรับ"
ที่มา: Business Insider/ Huffington Post/ Time
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: