ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2561” จากตัวแทนผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ กระจายทั่วทุกภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 207 ราย ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2560 พบว่า ผู้ประกอบการ ร้อยละ 35.75 ระบุว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัว ขณะที่ร้อยละ 42.51 ระบุว่า ทรงตัว และร้อยละ 21.74 ระบุว่า หดตัว
จำนวนผู้ที่ระบุว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2561 จะขยายตัวนั้น พบว่า ร้อยละ 50 เห็นว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวไม่เกิน ร้อยละ 5 รองลงมาร้อยละ 6.76 มองว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 6 – 10 มีเพียงร้อยละ 9.46 ที่เชื่อว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 10 ส่วนผู้ที่ระบุว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวนั้น พบว่าร้อยละ 24.44 มองว่าจะหดตัว ไม่เกินร้อยละ 5 , ร้อยละ 13.34 หดตัวร้อยละ 6– 10 , ร้อยละ 24.44 มองว่าหดตัวมากกว่าร้อยละ 10
ปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในปีหน้า ในมุมมองผู้ประกอบการ ระบุว่า เกิดจากเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกที่ขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมถึงการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตได้แข็งแกร่ง แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย จากความเสี่ยงของปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
นายกำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า ผลสำรวจยังได้สอบถามถึงการวางแผนดำเนินกิจการในปี 2561 ของผู้ประกอบการ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 62.32 มีการวางแผนและมีแนวทางรับมือ โดยขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและปรับปรุงเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต ขยายการลงทุนและขยายฐานการผลิตและการลงทุนไปยังต่างประเทศขณะที่ ร้อยละ 37.68 ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนแผนมากนักจากช่วงครึ่งหลังของปี 2560
สิ่งที่ภาครัฐ ควรเร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2561 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ร้อยละ 46.86 แนะว่าควรเร่งเจรจาการค้ากับประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อขยายตลาด ลดอุปสรรคทางการค้าและมาตรการกีดกันสินค้าที่มิใช่ภาษีและเพิ่มช่องทางการส่งออก และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ รวมทั้งสนับสนุนการขยายตลาดเข้าสู่หัวเมืองรองในกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อขยายฐานลูกค้าและกระจายสินค้าให้มากขึ้น และการพัฒนาการค้าและการขนส่งชายแดน
