วันที่ 11 ส.ค. 2565 ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2565 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมเพื่อเห็นชอบแนวทางเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการระยะเร่งด่วน (Quick win) และมาตรการที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจพิจารณากำหนดรายละเอียดมาตรการ และเสนอคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมว่า การประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในวันนี้ถือเป็นการประชุมที่มีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้คณะกรรมการได้ร่วมพิจารณาวางแผนแนวทางการปฏิบัติ ในการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ให้สอดคล้องกับการทำงานของคณะกรรมการชุดอื่นๆ รวมถึงคณะรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยคณะกรรมการจะมีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เตรียมแผนปฏิบัติการล่วงหน้า เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนได้ทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น ทั้งนี้ จากสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รัฐบาลกำลังดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยได้ดูแลในทุกมิติแล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการระยะเร่งด่วนว่า ขอให้แต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้เน้นว่าจะทำอะไรได้มากกว่าเดิมบ้าง ให้พิจารณาดำเนินการไปตามห้วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมาตรการบางอย่างอาจจะดำเนินการต่อไป บางอย่างอาจจะต้องลดหรือเพิ่ม ต้องพิจารณาเตรียมการอย่างรอบคอบ ให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ และต้องเตรียมสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน ว่าแต่ละเรื่องจะเดินหน้าไปด้วยงบประมาณส่วนใด โดยขอให้นำข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งหมดให้คณะอนุกรรมการ คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ได้ใช้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้การทำงานเกิดการประสานสอดคล้องกัน
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ในการทำงานบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เพราะมีประเด็นหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง และมีผลกระทบกับหลายด้าน วันนี้รัฐบาลกำลังบริหารสถานการณ์วิกฤตที่มีความเสี่ยงสูง โดยมีการติดตามประเมินสถานการณ์ และมีวิธีการทำงานแก้ไขสถานการณ์เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยรัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยอีกว่า ที่ประชุมได้มีการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์อื่นๆ การประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจและข้อเสนอแผนเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในระดับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยสรุปได้ ดังนี้
1. จากการติดตามเครื่องบ่งชี้ที่อาจก่อให้วิกฤตล่าสุด 4 ด้าน ได้แก่ (1) วิกฤตต้นทุนพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ (2) วิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร (3) วิกฤตการเงินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs และ (4) วิกฤตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยพบว่าปริมาณน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า และสินค้าที่จำเป็นยังไม่ขาดแคลน แต่มีราคาสูงขึ้น และรัฐบาลได้มาตรการช่วยเหลือ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง
นอกจากนี้วัตถุดิบด้านการเกษตร อาทิ ปุ๋ยและอาหารสัตว์ก็ไม่ขาดแคลน แต่มีราคาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สินค้าเกษตรบางรายการ มีราคาขายที่ต่ำกว่าต้นทุน สำหรับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs พบว่าหนี้ครัวเรือนเริ่มลดลง ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ แต่รายจ่ายครัวเรือนยังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมวดค่าโดยสาร ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วน SMEs ในภาพรวมค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่ในบางสาขายังไม่กลับสู่ระดับปกติ นอกจากนี้ผู้ประกอบการ SMEs ยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนและกำไร ในส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการรองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต ที่ประชุมเห็นว่ายังควรเร่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
2. ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้แก่ (1) มาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล การตรึงราคาก๊าซ NGV การตรึงราคาน้ำมันดีเซล ตลอดจนการออกมาตรการรักษากำลังซื้อให้แก่ประชาชนต่าง ๆ รวมถึงการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
(2) มาตรการเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร อาทิ โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service) ระยะที่ 2 มาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทยของ ธ.ก.ส.
(3) มาตรการเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเงินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs อาทิ จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2565 (พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ)
และ (4) มาตรการเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับคู่ค้าที่มีศักยภาพ การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน การลงทุนในโครงสร้างภายในประเทศ โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพและปริมณฑล โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมแนวเหนือ ใต้ ตะวันตก และตะวันออก เป็นต้น
3. สำหรับมาตรการที่จะดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย 1) มาตรการระยะเร่งด่วน (Quick win) ได้แก่ กลุ่มมาตรการประหยัดพลังงาน มาตรการระยะเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร อาทิ โครงการบริหารจัดการปุ๋ย โครงการส่งเสริมการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุอินทรีย์ มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs มาตรการบูรณาการฐานข้อมูลเกษตรกรในหลายมิติ และมาตรการทางการเงินเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
2) มาตรการที่ต้องเร่งดำเนินการต่อเนื่อง (Follow-up Urgent Policy) ได้แก่ มาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ มาตรการประหยัดพลังงาน อาทิ ส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และลดต้นทุนและปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง โดยมุ่งเน้นการขนส่งทางราง มาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร เช่น ศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุน/ร่วมทุน ในการจัดตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยโปแทส เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ
มาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการเงินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SMEs อาทิ การพัฒนาทักษะทางการเงินในทุกช่วงวัย การดำเนินการของคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย และมาตรการต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและการลดลงของขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ