ไม่พบผลการค้นหา
'ณัฐวุฒิ' ย้ำ #ไม่เอารัฐประหาร ชี้ชุมนุมกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยเป็นไปตามคาด จุดหมายคือล้มรัฐบาล ปลุกกระแสชาตินิยมกดดันให้นายกฯแพทองธารลาออก บีบพรรคร่วมถอนตัว แต่ออกแล้วก็ไม่จบ แนะ พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ร่วมกันปฏิเสธอำนาจนอกระบบ

หลังเกิดเหตุการณ์ชุมนุม ณ อนุสาวรีย์ฯ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายนิติธร ล้ำเหลือ นายพิชิต ไชยมงคล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี  โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย วันนี้ (29 มิถุนายน 2568) โดยระบุว่า

เป็นไปตามคาดว่าคนมาม็อบจะเยอะกว่าทุกครั้งตั้งแต่ยุครัฐบาลเศรษฐา เพราะเห็นความเคลื่อนไหวเชิงเครือข่าย และการทำงานแนวร่วมในทุกภูมิภาค รวมทั้งกลุ่มพลังทางสังคมต่างๆ

ในรอบ 20 ปีนี้การขับเคลื่อนม็อบจำนวนมากต่อเนื่องได้แรมเดือนแรมปี ต้องมีพรรคการเมืองเข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญ ม็อบนี้เริ่มนับหนึ่งและเดินต่อแน่ๆ อีกไม่นานน่าจะเห็นภาพพรรคการเมืองชัดขึ้น ถ้าไม่เห็นจะถือเป็นเรื่องใหม่และแปลกมาก ทั้งต่อการเมืองไทยและต่อกลุ่มแกนนำเอง

พลังหลักเป็นมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เคยเคลื่อนไหวในนามกลุ่มพันธมิตรฯและกปปส. จะมีนอกเเหนือบ้างก็เป็นส่วนน้อย ไม่ค่อยเห็นคนหนุ่มสาว ภาพรวมเป็นวัยกลางคนไปถึงสูงอายุ 

ข้อเรียกร้องและเนื้อหาการปราศรัยทำให้เห็นจุดหมายแต่น่ากังวลเรื่องปลายทาง

จุดหมายคือล้มรัฐบาล ปลุกกระแสชาตินิยมกดดันให้นายกฯแพทองธารลาออก บีบพรรคร่วมถอนตัว แต่ออกแล้วก็คงไม่จบ เพราะดูเหมือนปลายทางไม่ใช่การมีรัฐบาลใหม่ในสภาชุดนี้ ถ้านายกฯลาออก พรรคเพื่อไทยแกนนำรัฐบาลยังมีแคนดิเดตนายกฯอีกคนคือนายชัยเกษม เชื่อว่าแกนนำม็อบก็ไม่ยอมรับ การชุมนุมต่อต้านยังมีต่อ 

เอาคนอื่นมาเป็นนายกฯก็ไม่แน่ว่าจะได้ เพราะแกนนำหลักพูดชัดว่าถ้าทหารจะทำอะไร(หมายถึงรัฐประหาร)ก็ไม่ขัด บ้างก็ว่าต้องร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญขึ้นเอง บ้างก็จะปฏิวัติโดยไม่เกี่ยวกับนักการเมือง 

สัญญาณแบบนี้ปลายทางไม่ใช่วิถีประชาธิปไตย แต่เป็นการโยนโจทย์สำคัญสู่สังคมไทย ว่ากลุ่มนี้ทำทางยึดอำนาจมาแล้ว 2 รอบ สนใจทำแฮททริคหรือไม่ 

ผมยังยืนยันเช่นเดิมว่าสถานการณ์นี้ยุบสภาไม่ใช่ทางออก

ถ้าบอกว่าดึงช้าไปไม่ยอมยุบจะนำประเทศเข้าสู่ทางตัน ก็ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ระยะใกล้

ยุครัฐบาลไทยรักไทย มีการชุมนุมเปิดตัวกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 ต่อมารัฐบาลทักษิณประกาศยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน 

นายสุเทพนัดเป่านกหวีดต้านพรบ.นิรโทษกรรมครั้งแรกวันที่ 31 ตุลาคม 2556 หลังจากนั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภา 9 ธันวาคม

ทักษิณยุบสภาใน 15 วัน แต่มีการสร้างสถานการณ์ต่อเนื่องอีก 7 เดือน จนเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน

ยิ่งลักษณ์ใช้เวลา 1 เดือนกับอีก 9 วันยุบสภา แต่เรื่องไม่จบ คนกลุ่มเดียวกันเคลื่อนไหวกดดัน ขัดขวางการเลือกตั้ง 5 เดือนผ่านไปคสช.ก็ยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม

ผมเคารพสิทธิเสรีภาพและไม่ได้กล่าวร้ายคณะแกนนำ แต่ยกเรื่องจริงมาพูด เพราะฟังการปราศรัยและดูองค์ประกอบวันนี้มันให้ความรู้สึกคล้ายวันเหล่านั้น

ความไม่พอใจในตัวนายกฯและรัฐบาลมีอยู่จริง แต่ประชาชนที่สนันสนุนก็มีอยู่ด้วย การแสดงออก กดดัน หรือ ขับไล่ เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย แต่การตัดสินใจก็เป็นสิทธิ์ขาดอำนาจเต็มของนายกฯ ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับเช่นกัน

ผมไม่เคยคิดว่าคนที่มาชุมนุมเป็นปฏิปักษ์ และไม่เชื่อว่าจะไปไกลถึงขั้นเห็นด้วยกับรัฐประหารทั้งหมด ในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมา กลุ่มพลังที่เรียกร้องรัฐประหารไม่เคยเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง จะกล่าวอ้างว่าเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ไม่ได้

ความเห็นผมคือวันนี้ต้องสามัคคีประเทศไทยเพื่อรับมือภัยคุกคามจากภายนอก ถ้ารัฐบาลล้มจะกลายเป็นเกมฝ่ายประเทศเพื่อนบ้านล้มเราได้ สถานการณ์จะยิ่งเสียหาย

มีคนบอกว่าช้าไปจะถูกยึด ต้องยืนหลักให้ชัดว่ารัฐประหารคือวิธีการนอกระบบ ไม่มีเงื่อนไขใดๆให้เกิดขึ้น เที่ยวนี้ถ้าจะยึดก็ให้ยึดทั้งที่ยังเป็นรัฐบาลเต็มตัวไม่ใช่รักษาการณ์ ผมว่าจะยึดยากกว่าถ้าเทียบกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา 

เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวหาหรือกดดันกองทัพ เพราะท่าทีผู้นำเหล่าทัพยังไม่มีอะไรน่ากังวล แต่ผมพูดตามเนื้อผ้า เป้าหมายคือรักษาหลักการประชาธิปไตย

ช่วยกันรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ปกป้องอธิปไตยของประเทศ สร้างสันติภาพให้ประชาชนก่อน อายุขัยทางการเมืองของรัฐบาลนี้จะอย่างไรก็ไม่เกิน 2 ปี หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ให้กลไกประชาธิปไตยทำงานของมัน 

พรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ถ้ายังหันหน้าเข้าหากันไม่ได้ก็ต้องเอาหลังพิงกัน ปฏิเสธอำนาจนอกระบบ ไม่ยอมรับการเคลื่อนไหวเพื่อเปิดทางให้รัฐประหาร เพื่อรักษาไว้ทั้งเอกราชและอำนาจประชาชน