19 ก.ค.2565 การอภิปรายวันแรกในรอบดึก นิคม บุญวิเศษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังปวงชนไทย อภิปรายสุชาติในหลายประเด็น แต่ประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ 'การปั่นหุ้น' โดยเริ่มต้นว่า ก่อนรับตำแหน่ง สุชาติแจงบัญชีทรัพย์สิน 967 ล้านบาท มีหนี้สิ้น 100 กว่าล้านบาท แต่ปัจจุบันนี้น่าจะมีเงินหลายพันล้าน เพราะอะไรจึงเชื่อเช่นนั้น

นิคมระบุว่า รายงานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและตลาดหลักทรัพย์พบว่า บมจ.อรินสิริแลนด์ ที่สุชาติเป็นเจ้าของมีการเติบโตก้าวกระโดด

บริษัทนี้มีการแปรสภาพเข้าตลาดหุ้นเมื่อมิ.ย.2561 ทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กรรมการผู้อำนาจคือ ภรรยาของสุชาติ และสุชาติได้ขออนุญาต ป.ป.ช.ขอถือหุ้นเกิน 5% ตามที่กฎหมายกำหนด โดยสุชาติถือหุ้น 28.66% ภรรยาถือหุ้น 21.67% รวมกันเป็น 50.33% หลังจากนั้นสุชาติมีการกระจายหุ้น โดยโอนหุ้นให้ 'นาย ล.' 13.30% โอนให้ 'นาย ส.' 2.07% แล้วให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 13.33% ของ 'นายสอภอ' ซึ่งเป็นเพื่อนของสุชาติ วันที่ 11 มี.ค.65

นิคมระบุว่า นายสอภอเป็นนักปั่นหุ้นและนักฟอกเงิน เป็นคนสนิทสุชาติ และสุชาตินำเงินกองทุนประกันสังคม โดยการอนุมัติของบอร์ดประกันสังคมไปซื้อหุ้นในบริษัทธุรกิจพลังงานของนาย สอภอ จนเขากลายเป็นเศรษฐี จริงๆ มีหลักการว่ากองทุนประกันสังคมควรจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ำกวา 60% เช่นลงทุนในพันธมิตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนที่ได้รับการจัดเครดิต แต่กลับให้บอร์ดเอาไปซื้อหุ้นของบริษัทนายสอภอ เพื่อให้บริษัทลูกของนายสอภออีก 3-4 บริษัทไปซื้อหุ้นในกิจการที่มีผลประกอบการติดลบ จากหุ้นละไม่กี่สตางค์ราคาก็พุ่งขึ้น เรียกว่าการปั่นหุ้นหรือไม่ 

นิคมระบุว่า บริษัทลูกของนายสอภอนั้นมาซื้อหุ้นของอรินสิริแลนด์นั่นเอง และ กลต.น่าจะต้องไปตรวจสอบ 

นิคมขยายความว่า เมื่อดูผลประกอบการของอรินสิริฯ พบการขาดทุนตั้งแต่ปี 2562-2564 บางปีสูงขาดทุนสูงถึง 50 กว่าล้านบาท แต่มันสวนทางกับราคาหุ้นที่พุ่งขึ้น ตอนปลายปี 2562 หุ้นยังติดลบอยู่จนถึงเดือน ธ.ค.2564 ผลประกอบการก็ยังขาดทุน แต่พอถึงวันที่ 31 มี.ค.2565 ขณะที่บริษัทผลประกอบการขาดทุน แต่หุ้นของบริษัทกลับมุลค่าเพิ่มขึ้นมา 138.9% มันเกิดอะไรขึ้น จนมาถึง 27 มิ.ย.2565 ราคาหุ้นขึ้นไปถึง 480.5% ซึ่งตนจะยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ 

"นี่คือความสามารถของนักปั่นหุ้น กลต.อยู่ที่ไหน ท่านเอาเงินลูกจ้างที่เก็บเงินเข้ากองทุนประกันสังคมไปให้พวกพ้องท่าน ถามว่าใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์ไหม" นิคมกล่าว 

นิคมยังกล่าวว่า ได้คัดหนังสือจากกระทรวงพาณิชย์ 600 หน้าราคา 30,000 บาท เรียกว่ากระทรวงพาณิชย์ค้ากระดาษจนรวย ก็ยังพบว่า ก.ค.2565 กรรมการผู้มีอำนาจก็คือภรรยานายสุชาติ และนายสุชาติก็ยังมีหุ้นอยู่ เรื่องเหล่านี้แม้คนนอกอาจมองไม่เห็นความซับซ้อน แต่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในองค์กรย่อมมองเห็น และส่งข้อมูลมาให้นายนิคม 

นิคมบอกว่า รัฐมนตรีอาจบอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่บอร์ดประกันสังคมอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรี ทำไมจึงอนุมัติเงินไปลงทุนกับนายสอภอ และทำไมบริษัทลูกของนายสอภอจึงไปซื้อหุ้นบริษัทของรัฐมนตรีจนราคาหุ้นพุ่งสูงอย่างยิ่ง ถามว่านี่คือการปั่นหุ้นหรือไม่ 

สุชาติ เจ้ากระทรวงลุกขึ้นชี้แจงทันทีถึง "นิทานที่ท่าน (นิคม) เล่าอยู่" โดย รมว.แรงงานระบุว่า กลต.มีการตรวจสอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรผิดกฎหมายปั่นหุ้นได้ และกองทุนประกันสังคมมีบอร์ดที่มาจากทุกภาคส่วน รัฐมนตรีไม่สามารถไปชี้นำการดำเนินการได้ อีกทั้งปัจจุบันกองทุนประสังคมสร้างผลตอบแทนให้ผู้ประกันตนปีละ 70,000-80,000 ล้านบาท 

ส่วนหุ้น บมจ.อรินสิริฯ สุชาติชี้แจงว่า ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีก็ตนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านบริษัทนี้มายาวนาน "บริษัทนี้ค้าขายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้ค้าแป้ง" ตอนรับตำแหน่งในเดือนส.ค.2563 ก็ทำตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตนรีบแจ้งประธาน ป.ป.ช.กรณีถือหุ้นเกิน 5% และหากฝากไว้ที่กองทุนไหนกองทุนนั้นต้องมีอำนาจตัดสินใจบริหารเป็นปกติอยู่แล้ว ปัจจุบันสัดส่วนการถือหุ้นของตนและครอบครัวได้ให้มอบให้ผู้จัดการไปแล้วเพื่อความโปร่งใส หากจะดำเนินการตามที่กล่าวหาย่อมต้องถือหุ้นสูงขึ้น แต่ปัจจุบันก็ถืออยู่เท่าดิม หุ้นจะขึ้นหรือลงก็ไม่เคยได้สนใจ