รวมทั้งท่าทีของ ‘บิ๊กแดง’ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่กลับนิ่งเงียบผิดปกติกว่า 1 เดือนแล้ว นับจาก ‘ปรากฏการณ์โรคชังชาติ’ ที่ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวกลาง ร.ร.นายร้อย จปร. ขณะสวมชุดพระราชฐาน 

รวมทั้งอุทานว่า “หูย” เมื่อสื่อถามถึงกระแสข่าวรัฐประหาร แม้จะถามย้ำว่า ‘ยุคนี้’ จะสามารถเกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ ก็ส่ายหน้าปฏิเสธตอบ จนมาถึงการส่งข้อความ หลังเยี่ยมทหาร จ.ชายแดนใต้ ที่สวนสนประดิพัทธ์ เพื่อมอบเงินช่วยเหลือ ขณะเดินทางไปตรวจเยี่ยม ตามแผนปฏิรูป ทบ. ในการจัดการสวัสดิการเชิงพาณิชย์ หลัง ทบ. ลงนามกับกรมธนารักษ์

โดย พล.อ.อภิรัชต์ ได้ผุด #จะไม่ยอมให้จบที่รุ่นเรา หลังคุยกับทหาร จชต. ที่รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมส่งข้อความให้คนใกล้ชิดว่า “แต่ละคน ถูกยิง แขน ขา บางคนโดน ระเบิดบางคนโดนยิงหลัง หน้าอก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และเขาเหล่านี้ยังคงรบต่อไป รบจนสุดใจ ขาดดิ้น เพื่อปกป้อง สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน ไม่มีวันรู้จบ ทุกคนชู 2 นิ้ว สำหรับชีวิตที่สู้เพื่อประชาชน และปกป้องชาติ สถาบัน อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย ทุกคน มีแต่รอยยิ้ม แม้ตัวจะมีบาดแผล เห็นแล้วอยากกลับไปเป็น ทหารหนุ่มๆ ร่วมรบกับเขาอีก” ก่อนลงท้ายด้วย #จะไม่ยอมให้จบที่รุ่นเรา

ทำให้มีการตีความว่าล้อกับ #ให้มันจบที่รุ่นเรา ของกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ตั้งแฮชแท็กนี้ในการต่อสู้ จึงเปรียบเป็นการขยับเล็กๆ ของ พล.อ.อภิรัชต์ ในห้วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา 

รวมทั้งในช่วงนี้เป็นห้วงการฝึก มีการที่ ทบ. แจ้งเตือน การเคลื่อนย้ายกำลังและยุทโธปกรณ์ ของหน่วยกำลังรบ ในพื้นที่ต่างจังหวัด ทำให้เกิดการตื่นตระหนกขึ้นมา พร้อมนำไปเทียบกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ที่มีการเคลื่อนย้ายลักษณะเช่นนี้ในห้วงเดือนเดียวกัน ซึ่งการที่ ทบ. แจ้งเตือนในขณะนี้ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ตามนโยบาย ทบ. ที่ให้ติดป้าย “เพื่อการฝึก” ขณะเคลื่อนย้ายด้วย

ทั้งนี้หากวิเคราะห์จากสถานการณ์ต่างๆ ยัง ‘ไม่สุกงอม’ เพียงพอ เพราะการชุมนุมยังคงอยู่ในกรอบที่รัฐบาลรับมือได้ ยังไม่ถึงขั้นจราจล ยืดเยื้อ มีการเผชิญหน้ารุนแรง รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินกับกลไกในสภายังคงดำเนินตามปกติ ไม่ใช่สภาวะ ‘สุญญากาศ’ รวมทั้งปัจจัยสำคัญคือการปรับโครงสร้างหน่วยใหม่ของ ทบ. หน่วยคุมกำลังรบหรือขุมกำลังปฏิวัติ ถูกโอนไปอยู่นอกการบังคับบัญชาของ ทบ. ดังนั้น ‘เงื่อนไข’ ยังไม่เข้าองค์ประกอบ และ ‘ปัจจัย’ การทำรัฐประหารเปลี่ยนไปจากอดีต

ทั้งนี้อีกไม่ถึง 1 เดือน ก่อนที่ ผบ.เหล่าทัพ ชุดปัจจุบันจะเกษียณฯ ทั้งหมด โดย ผบ.ทบ. คนต่อไปอย่าง ‘บิ๊กบี้’ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ที่เป็นสายตรงของ พล.อ.อภิรัชต์ ด้วยบุคลิกที่นิ่งจนยากจะอ่านความคิด ก็มีความบู้อยู่ในตัวเอง ไม่ต่างจาก พล.อ.อภิรัชต์ โดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ เกษียณฯ ปี66 นั่งในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ได้ยาวถึง 3 ปี ท่ามกลางข่าว พล.อ.อภิรัชต์ จะต่ออายุราชการออกไป ซึ่งก็ไม่มีมูลที่จะเป็นไปได้

ในส่วนของ ทร. ที่ ‘บิ๊กลือ’ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. จะเกษียณฯเช่นกัน มีชื่อแคนดิเดต ผบ.ทร. คนใหม่ คือ ‘บิ๊กช่อ’พล.ร.อ.ช่อฉัตร กระเทศ รองผบ.ทร. ตีคู่มากับ ‘บิ๊กอุ้ย’พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้ช่วยผบ.ทร. โดยชื่อที่เป็นเต็งหนึ่งคือ พล.ร.อ.ช่อฉัตร ที่คนใน ทร. ต่างเชื่อมั่นภูมิหลัง พล.ร.อ.ช่อฉัตร ที่ไม่ธรรมดา

สำหรับ ทอ. ที่ ‘บิ๊กนัต’ พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผบ.ทอ. จะเกษียณฯ ก็มีชื่อเต็งหนึ่ง ผบ.ทอ. คนต่อไป คือ ‘บิ๊กจ้อ’ พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุนศรี ผู้ช่วย ผบ.ทอ. แต่ก็มีชื่อแรงแซงโค้งอย่าง พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทอ. ที่มาแบบแรงแซงโค้ง เพราะไม่ได้อยู่ใน 5 เสืออากาศ จนเป็นที่สับสนของคนใน ทอ. แต่คนใน ทอ. ก็ยังเชื่อว่าเป็นชื่อ พล.อ.อ.ธรินทร์ เช่นเดิม

สุดท้ายที่ บก.กองทัพไทย ‘บิ๊กกบ’ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ที่เกษียณฯ โดยมี ‘บิ๊กแก้ว’ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสธ.ทหาร จ่อขึ้นเป็น ผบ.ทสส. โดย พล.อ.เฉลิมพล เป็นอีกสายตรงของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ถูกส่งจาก ทบ. ไป บก.กองทัพไทย

ท่ามกลางสถานการณ์ที่แหลมคม แต่ความเป็นเอกภาพระหว่าง ‘กองทัพ’ กับ ‘รัฐบาล’ ยังคงมีอยู่ แม้ ผบ.เหล่าทัพ ชุดใหม่ จะไม่ใช่สายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ในภาพรวม รัฐบาลยังคงเสถียรภาพได้ เว้นแต่มี ‘เชื้อไฟใหม่’ เกิดขึ้น หลังรัฐบาลถอยหลายเรื่องที่กระทบ เช่น โครงการเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ที่ นายกฯ สั่งชะลอ รวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ก่อนหน้าที่แทบไม่มีสัญญาณตอบรับจากรัฐบาล

ทั้งถอยและนิ่งสยบความเคลื่อนไหว !!